ฐานะการเงิน “ขี้เหร่” ทำให้ บมจ.ไออาร์พีซี ทำงานไม่คล่องตัว ทว่าเมื่อแผนลดต้นทุน “กำไรหมื่นล้าน”
ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง!! ทำให้หลายฝ่ายทำนายว่า มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะหลุด 40 เหรียญต่อบาร์เรล ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทพลังงานที่สต็อกน้ำมันต้นทุนสูงไว้จำนวนมาก ย่อมต้องก้มหน้ารับผลขาดทุนจาก Stock loss สุดท้ายจะแสดงตัวเลขขาดทุนมากหรือน้อยคงต้องวัดกันที่ฝีมือการบริหารล้วนๆ
บริษัท ไออาร์พีซี หรือ IRPC ผู้ประกอบการธุรกิจปิโตรเลียม,ธุรกิจปิโตรเคมี,ธุรกิจท่าเรือและถัง และธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน ถือเป็นหนึ่งบริษัทพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากการสต็อกน้ำมันเต็มๆ หลังบริษัทสต็อกน้ำมันมากถึง 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปัจจุบันบริษัทมีความพยายามจะบริหารความเสี่ยง ด้วยการลดสต็อกน้ำมันเหลือเพียง 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
แต่แผน “ลดต้นทุนการผลิต” ของบริษัท ไออาร์พีซี ทำให้เหล่านักวิเคราะห์มีมุมมองว่า ปี 2558 บริษัทอาจมีกำไรสุทธิแตะระดับ 1,600 ล้านบาท หลังจากได้เริ่มดำเนินการโครงการ Delta Program ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2557 ขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถกลับมาผลิตหน่วย DCC Plant (Dcc Deep Catalytic Cracking) ได้เหมือนเดิมเหมือน หลังเกิดเหตุไฟไหม้เมื่อปีก่อน
นอกจากนั้นในช่วงไตรมาส 4 ปี 2558 บริษัทเตรียมเดินเครื่องผลิตโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สะอาด หรือ Upstream Project for Hygiene and Value Added Products (UHV) ซึ่งจะทำให้มีโพรพิลีนเพิ่มขึ้นอีก 320,000 -340,000 ตันต่อปี โดยแผนงานดังกล่าวนอกจากจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นแล้วยังจะทำให้มีต้นทุนการผลิตลดลงจาก 8-8.5 เหรียญ เหลือเพียง 7.5-8 เหรียญ
“ภาวะราคาน้ำมันดิ่งเช่นนี้ บริษัทคงหลีกหนีผลขาดทุนไม่ได้ ฉะนั้นงบการเงินของปี 2557 คงออกมาไม่สวยเหมือนปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 826 ล้านบาท แต่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีความทันสมัยจนสามารถแข่งขันกับคนอื่นได้จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทลดลงอย่างมาก ซึ่งผลดีจะเริ่มสะท้อนผ่านผลประกอบการในปี 2558 “ตั้ว-สุกฤตย์ สุรบถโสภณ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week”
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างลงทุน 2 โครงการ นั่นคือ โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สะอาด หรือ UHV และ โครงการลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการผลิต หรือ Delta ซึ่งโครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้กับบริษัท เขาย้ำ โดยในปี 2557 โครงการดังกล่าวได้ช่วยเพิ่มกำไรให้บริษัทแล้วจำนวน 2,000 ล้านบาท ส่วนปี 2558 อาจเพิ่มกำไรอีกประมาณ 4,000 ล้านบาท
ในอดีตบริษัทคือผู้ผลิตน้ำมันเตา คิดเป็นสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ ของการผลิตทั้งหมด ซึ่งน้ำมันเตาถือเป็นตัวถ่วงที่ทำให้งบการเงินขาดทุนมาตลอด เนื่องจากเมื่อ 2 ปีก่อน ราคาน้ำมันเตาถูกมาก หลังสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซบเซา ทำให้การค้าขายทางทะเลลดลง ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเตาหดหาย ฉะนั้นเมื่อโครงการ UHV แล้วเสร็จ บริษัทจะมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาเหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่า ต้นทุนการผลิตจะลดลง ขณะที่มูลค่าของผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น
“ 5 ปีข้างหน้า “กำไรสุทธิ” ต้องแตะ “หมื่นล้าน”
“กรรมการผู้จัดการใหญ่” ยืนยันเป้าหมาย ก่อนขยายความว่า ในปี 2557-2561 บริษัทวางแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 65,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้ใช้เงินไปแล้วในหลายๆโครงการ เช่น โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สะอาด ซึ่งภายในปีนี้เรายังคงลงทุนต่อเนื่องจำนวน 10,000 ล้านบาท คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2558 และจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มจำนวนในปี 2559 เขาย้ำ
ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทยังจะลงทุนต่อเนื่องในโครงการฟินิกซ์อีก 6 โครงการ หลังดำเนินการเสร็จไปแล้ว 10 โครงการ ประกอบด้วย
1.โครงการผลิตพาราไซลีน 1.21 ล้านตันต่อปี และเบนซิน 3.72 แสนตันต่อปี
2.โครงการผลิตโพลิโพรพิลีน คอมพาวด์ หรือ PPC 300,000 ตันต่อปี
3.โครงการผลิตโพลิออล 100,000 ตันต่อปี
4.โครงการผลิตอะคริลิก แอซิด ซูเปอร์ แอบซอฟเบนต์ โพลิเมอร์ หรือ AA/SAP กำลังการผลิต AA 100,000 ตันต่อปี และ SAP 80,000 ตันต่อปี
5.โครงการ Bio-Hydrogenated Diesel หรือ BHD 2 ล้านลิตรต่อเดือน และ
6.โครงการผลิตสไตรีน โมโนเมอร์ หรือ SM 350,000 ตันต่อปี
โดยโครงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน คอมพาวด์ มีมูลค่าลงทุนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 475, 000 ตัน เป็น 775,000 ตัน คาดว่าปลายปี 2559 หรือต้นปี 2560 โครงการจะแล้วเสร็จ
อย่างไรก็ดีโครงการฟีนิกซ์ได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 4 ปี ซึ่งโครงการที่ดำเนินการเสร็จไปแล้ว เช่น โครงการพัฒนาคุณภาพน้ำมันสู่เชื้อเพลิงสะอาดและนวัตกรรมเพื่อโลกสีเขียว,โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มกำลังการผลิต EBSM, โครงการเพิ่มมูลค่าจากคลังน้ำมันและโรงผสมน้ำมันหล่อลื่นตามมาตรฐานสากล และโครงการบริหารจัดการเพื่อลดการสูญเสียจากกระบวนการผลิตปิโตรเคมีและการกลั่น เป็นต้น
“บริษัทมีแผนจะร่วมทุนกับ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC ในโครงการผลิตพาราไซลีน ที่มีกำลังการผลิต 1.2 ล้านตัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงต้นปี 2558 ถือเป็นการสรุปแผนงานที่ล่าช้า เนื่องจากที่ผ่านมาส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อ่อนตัวลงมาค่อนข้างมาก”
“นายใหญ่” บอกว่า ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจปิโตรเคมี 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ แต่ความสามารถในการสร้างกำไรส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจปิโตรเคมี หลังบริษัทเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์เดิม และผลิตภัณฑ์ใหม่
เมื่อถามถึงแผนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย จังหวัดระยอง พื้นที่ 2,000 ไร่ และแผนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา พื้นที่ 2,000 ไร่ เขาตอบว่า บริษัทกำลังทบทวนโครงการใหม่ทั้งหมด เชื่อว่าภายใน 6 เดือนข้างหน้าจะได้ข้อสรุป โดยในช่วงปลายปี 2556 บริษัทได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ.เรียบร้อยแล้ว
บริษัทอยากเห็นความชัดเจนเรื่องนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่ายก่อน ล่าสุดกำลังจัดทำโมเดลธุรกิจ โดยรูปแบบอาจมีทั้งลงมือทำเองและจับมือกับพันธมิตร สำหรับวงเงินลงทุน คาดว่าคงต้องใช้เงินหลายพันล้านบาท เขายอมรับว่า รู้สึกกังวลต่อการทำธุรกิจดังกล่าวเนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่ายอยู่ห่างจากท่าเรือแหลมฉบัง ฉะนั้นหากอยากดึงดูดนักลงทุนบริษัทคงต้องทำโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม
ส่วนการพัฒนาที่ดินในจังหวัดสงขลา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาเช่นกัน ฉะนั้นคงยังไม่มีความชัดเจนเร็วๆ นี้ แต่เราอยากสร้างให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่จะสามารถต่อยอดยางพาราและปาล์มน้ำมัน
ถามว่ามีแผนจะแตกไลน์ธุรกิจหรือไม่? เอ็มดีใหญ่ ตอบว่า เราอยากทำธุรกิจเดิมให้แข็งแกร่งก่อนแล้วค่อยหันไปศึกษาการลงทุนในธุรกิจอื่น หากมีเงินเหลือมากพอ เพราะจากการสำรวจแผนธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนหลายๆแห่งพบว่า ส่วนใหญ่นำเงินที่เหลือจากการลงทุนในธุรกิจหลักนำไปแสวงหาโอกาสใหม่ที่ไม่มีความถนัด สุดท้ายเมื่อไม่รู้จริงก็ต้องกลับมาทำงานเก่า ซึ่งบริษัทไม่อยากเป็นเช่นนั้น
“ขัดแย้ง” สู่ “พันธมิตร”
ปิดฉาก 10 ปีแห่งความขัดแย้ง ระหว่าง “กลุ่มเลี่ยวไพรัตน์” กับ “ไออาร์พีซี” หลังเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2557 ทั้งสองฝ่ายลงนามยุติข้อพิพาทต่อกันทั้งหมด “สุกฤตย์ สุรบถโสภณ” อาสาเล่าเบื้องหลังฉบับย่อให้ฟังว่า คุณประชัย เป็นคนโทรเข้ามาขอเจรจายุติคดีความทั้งหมดกับบริษัท อาจเป็นเพราะท่านอายุมากแล้วจึงอยากจบเรื่องทุกอย่าง แต่สาเหตุที่ไม่สามารถจบปัญหาได้ก่อนหน้านี้ เพราะยังมีคดีค้างอยู่กว่า 100 คดี
บริษัทใช้เวลาเจรจาเรื่องนี้กับคุณประชัยมากถึง 3 รอบ เรียกว่า ทำตารางเปรียบเทียบกันเลยว่า หากต่อสู้คดีกันต่อไป ต่างฝ่ายจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทางกฎหมายเท่าไหร่ โอกาสแพ้ชนะเป็นอย่างไร และถ้ายุติคดีความ ต่างฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างไร และสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมจะสามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากน้อยเท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งการควบรวมบริษัทลูกจะทำให้ธุรกิจเกิดความกระชับหรือไม่
“กรรมการผู้จัดการใหญ่” เล่าต่อว่า เมื่อบริษัทได้ภาพที่ชัดเจนจึงได้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท เพื่อให้พิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย สุดท้ายเมื่อบอร์ดตัดสินใจยุติคดีความ เราจึงเริ่มดำเนินการทันที ปัจจุบันบมจ.ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นคู่ค้ากับบริษัทโดยสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ดีที่ประชุมบริษัทเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2557 นอกจากจะมีมติให้บริษัทดำเนินการยุติข้อพิพาทกับกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์แล้วยังมีมติให้บริษัทจำหน่ายหุ้นบริษัทที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก นั่นคือ บริษัท อุตสาหกรรมสหธัญพืช จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจผลิตกระสอบ ถุง ที่ทำจากปอ กระดาษ พลาสติก จำนวน 992,698 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.05%
โดยได้จำหน่ายให้กับบริษัท เลี่ยวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด ราคา 251.84 บาทต่อหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท มูลค่า 250 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำนวน 410,458 หุ้น คิดเป็นเงิน 103.37 ล้านบาท และบริษัท อุตสาหกรรมโพลียูรีเทนไทย จำนวน 582,240 หุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 146.63 ล้านบาท
นอกจากนั้นยังมีมติยกเลิกสัญญาเช่าอาคารทีพีไอทาวเวอร์ หลังบริษัทและบริษัทย่อยได้ทำสัญญาเช่าอาคารทีพีไอทาวเวอร์ เมื่อปี 2538-2542 พื้นที่รวม 26,653.72 ตารางเมตร ในระยะเวลา 90 ปี โดยได้จ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 956 ล้านบาท และได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้ทั้งจำนวนแล้ว
ปัจจุบันบริษัทไม่ได้ใช้ประโยชน์จากอาคารดังกล่าวแล้ว จึงได้ยกเลิกสัญญาเช่าอาคารทีพีไอ ทาวเวอร์ ตามพื้นที่และระยะเวลาที่เหลือทั้งหมดกับบริษัท พรชัยวิสาหกิจ โดยบริษัทได้รับคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าคงเหลือตามสัญญาการเช่า 470 ล้านบาท เป็นการคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าของไออาร์พีซีจำนวน 420.14 ล้านบาท บริษัท น้ำมันไออาร์พีซี จำนวน 37.64 ล้านบาท บริษัท ไออาร์พีซี โพลีออล จำนวน 11.85 ล้านบาท และบริษัท ไท เอบีเอส จำกัด 370 ล้านบาท