เคล็ดลับการลงทุน

images

ผมมีโอกาสไปบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับ กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งมีความตื่นตัวขึ้นมาก ในการลงทุน

คำถามหนึ่งที่นักศึกษา มักต้องถามคือ มีเงินน้อย จะซื้อหุ้นลงทุนอย่างไรดี

ผมมีความเห็นใจมาก เพราะตอนจบมาใหม่ๆ ก็ไม่มีเงินเหมือนกัน แต่ขอยืนยันว่า บทความชื่อ “การเงิน 6 มิติ” และ “การสร้างความมั่งคั่ง” เป็นการเขียนขึ้นจากประสบการจริง ซึ่งได้ช่วยทำให้ผม
มีได้อย่างทุกวันนี้
ประเด็นสำคัญคือ การมีเงินนั้น เป็นไปได้ ถ้ารู้จักเคล็ดลับการออม และเคล็ดลับการลงทุน
เคล็ดลับการออม เป็นเรื่องง่ายๆ คือต้องออมไว้อย่างน้อย 10% แต่เป็นเรื่องที่ยากมาก สำหรับคนที่ไม่มีดวงเป็นเศรษฐี
ครั้นสะสมเงินออมได้แล้ว ต้องมีเคล็ดลับการลงทุน โดยต้องเข้าใจว่า ทรัพย์สินที่มีไว้ให้ลงทุน
มีอยู่ 3 ชนิด

ทรัพย์สิน 3 ชนิดที่ว่า ได้แก่
1. เอาไว้เพื่อใช้เอง Utilizing Assets)2. เอาไว้เพื่อขาย Trading Assets)3.เอาไว้เพื่อหารายได้ Earnings Assets)
เป็นนักศึกษา จบมาใหม่ๆ มีงานทำ มีเงินออมบ้างนิดหน่อย คงต้องลงทุนในทรัพย์สินเพื่อใช้ก่อน
โดยเฉพาะบ้านและรถ เพราะถือว่าเป็นของจำเป็น แม้จะต้องกู้เงินมาเสริม ก็ต้องยอม

มีข้อแม้คือ ลงทุนเท่าที่จำเป็น แบบเศรษฐกิจพอเพียง อย่าเอาโก้
และต้องมั่นใจ ว่าจะผ่อนชำระคืนเงินกู้ได้ ทำอย่างนี้ได้ ถือว่าสอบผ่านด่านแรก

ทีนี้พอมีเงินมากขึ้น ก็เริ่มดูลู่ทางลงทุนใน Trading Assets เล็งดูทรัพย์สินที่มีโอกาสเพิ่มค่าเร็ว
เช่น หุ้น ที่ดิน ซื้อมาเพื่อขายทำกำไร เพื่อจะทำให้เงินที่มีอยู่ งอกเงยได้รวดเร็วขึ้น
มีข้อเตือนใจคือ การลงทุนแบบนี้ มีความเสี่ยงสูง เพราะราคาหุ้น ราคาที่ดิน อาจมีปัญหา ตกต่ำลงมาได้
เกิดขาดทุน ทำให้ใจเสีย
ผมก็เคยโดนมาแล้ว
เวลาได้กำไร รู้สึกว่าการหาเงินเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน ทำให้ย่ามใจ ขาดสติ เร่งลงทุนมาก จนเกินกำลัง
กว่าจะรอดมาได้ เหนื่อยเกือบตาย

แต่ก็มีบ้างบางคน ทำได้ดี มีเงินเป็นกอบเป็นกำ และดูๆไป คนส่วนใหญ่เวลานี้ ก็ชอบลงทุนแบบ Trading Assets เพราะต้องการเห็นผลเร็ว ได้เสีย รู้กันไปเลย อันเป็นนิสัย ของคนที่ชอบผจญภัย

เคล็ดลับการลงทุนแบบที่สาม คือลงทุนใน Earnings Assets หรือทรัพย์สินที่ให้รายได้คืนกลับมาอย่างต่อเนื่อง

การลงทุนแบบนี้ คือการลงทุนแบบห่านทองคำ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินธนาคาร การซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้ การลงทุนในหุ้นปันผล การซื้อคอนโดให้เช่า การสร้างอพาร์ตเมนต์ให้เช่า หรือทรัพย์สินอื่นๆ ที่สามารถให้กระแสรายได้ เข้ามาแบบระยะยาว

การลงทุนตามสไตล์ห่านทองคำ มีข้อดีคือ ไม่ต้องขายทรัพย์สินไปแบบ Trading Assets ซึ่งเน้นการขายทรัพย์สินเพื่อเอากำไร ครั้งเดียวจบ

กลยุทธหุ้นห่านทองคำ ก็ได้มาจากแนวคิดของ Earnings Assets โดยเน้นการลงทุนในหุ้นปันผล
ที่ดีคือ หุ้นปันผลที่ซื้อลงทุน อยู่ในตลาดหุ้น ทำให้มีโอกาสที่ดียิ่ง ในการลดต้นทุนหุ้นในมือ

การทำเช่นนี้ สามารถช่วยให้คนมีเงินน้อย มีโอกาสเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป
มีมากจนถึงขั้นว่า เงินปันผลที่ได้รับ สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว โดยไม่ต้องทำงานก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นครอบครัวที่ยึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ฟู่ฟ่า สามารถเป็นไท ได้อย่างสบาย
จึงหวังว่า นักศึกษาที่จบใหม่ มีเงินน้อย จะสามารถนำเคล็ดลับการลงทุนนี้ ไปปฏิบัติใช้ ให้เป็นประโยชน์ได้นะครับ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

นักลงทุน VI กับความสุขแบบ VI

       ความสุขแบบ VI

       เป้าหมายในชีวิตของ Value Investor นั้น  ดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่ความมั่งคั่งและการมี“อิสรภาพทางการเงิน”  แต่ถ้าคิดให้ลึกขึ้นไปอีกนิดหนึ่งเราก็ต้องบอกว่าเป้าหมายสุดท้ายจริง ๆ นั้นก็คือ  การมีความสุขในชีวิต  ซึ่งเงินก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการทำให้เรามีความสุข  อย่างไรก็ตาม  ลำพังแต่เงินนั้น  มันอาจจะไม่สามารถสร้างความสุขได้จริง  เพราะความสุขนั้น มักจะมาจากแหล่งอื่น ๆ  โดยที่เงินเป็นเพียงปัจจัยที่  “อำนวย”  ให้เกิดความสุข  มากกว่าที่มันจะก่อให้เกิดความสุขโดยตัวของมันเอง  เพราะจากการศึกษาของ Arthur Brooks ประธานของสถาบัน American Enterprise ที่มีการเผยแพร่เป็นหนังสือเมื่อเร็ว ๆ นี้  ได้พบว่าใครคือคนที่มีความสุขรวมถึงเหตุผลว่าเพราะอะไร   และในสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้  ผมก็จะพยายามอธิบายว่า ในฐานะของ VI  เราจะเป็นคนที่มีความสุขไหม  และเราจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะทำให้เรามีความสุขมากที่สุด

          เรื่องแรกที่พบก็คือ  ยีนส์เป็นสิ่งที่มีบทบาทในการกำหนดความสุขของคนเรามาก  ข้อนี้ส่วนตัวผมเองคิดว่าเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง  คนบางคนนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีเงินทองอะไรมากนัก แต่ชีวิตเขาก็ดูมีความสุขดีกว่าคนที่รวยกว่ามาก  ประเด็นก็คือ  เขามีอารมณ์ที่ดีอยู่เสมอ  เขาไม่เป็นคนที่  “ดิ้นรน”  หาเงินทองอะไรมากนักและพึงพอใจกับการใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ   เขาเป็นคนไม่เครียดและ “ปล่อยวาง”  ในเรื่องต่าง ๆ  ได้มาก  ซึ่งทั้งหมดนั้น  ผมคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะมาจากยีนส์ของเขาที่กำหนดให้เขาเป็นคนอย่างนั้นมากกว่าที่จะมาจากการอบรมสั่งสอนหรือจากสภาวะแวดล้อมรอบตัว  ในทางตรงกันข้าม  คนอีกคนหนึ่งอาจจะเกิดมาเป็นคนที่มีอารมณ์“ร้าย”  หรืออารมณ์รุนแรง  มีเรื่องอะไรมากระทบก็จะตอบสนองมากกว่าปกติ  เขาอาจจะเป็นคน  “ขี้หงุดหงิด”  หรืออาจจะเป็นคน  “ขี้กังวล”  หรือมองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา  ดังนั้น แม้ว่าเขาอาจจะมีเงินมากเหลือเฟือ  เขาก็มักจะมีความสุขน้อยกว่าคนแรก

         นอกจากเรื่องของจิตใจแล้ว  ยีนส์ยังมีส่วนสำคัญในการกำหนดสุขภาพทางกายของแต่ละคนค่อนข้างมาก  คนที่เกิดมามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์  มีภูมิต้านทานโรคสูง  และไม่มีจุดอ่อนของยีนส์ที่จะทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเป็นโรคที่ไม่มีเชื้อเช่น  เบาหวาน  มะเร็ง  และอื่น ๆ  อีกมาก นั้น  ผมคิดว่าเขาน่าจะมีความสุขมากกว่าคนที่เกิดมาด้วยยีนส์ที่อ่อนแอกว่า  มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือมีโอกาสที่จะเกิดโรคความเสื่อมของร่างกายที่จะทำให้เกิดโรคร้ายโดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น  ในกรณีแบบนี้  คนที่มียีนส์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านอารมณ์จิตใจและทางด้านร่างกายก็น่าที่จะมีความสุขมากกว่า   และดังนั้น  ผมเองคิดว่าเขาเป็นคนที่โชคดีไม่แพ้คนที่  “เกิดมารวย”

          ข้อสรุปเรื่องที่สองก็คือ  ความยากจนนั้น  จะลดความสุขในชีวิตลง  แต่คนที่มีเงินถึงจุดหนึ่งแล้ว  เงินที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ช่วยให้ความสุขเพิ่มขึ้นมากนัก  ประเด็นก็คือ  เงินเท่าไรถึงจะเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขเกือบเต็มที่?  สำหรับเรื่องนี้  ผมคิดว่าคำตอบคงขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ  เราจะต้องดูว่ารายจ่ายของเรานั้น  เริ่ม “นิ่ง” หรือยัง?  คนที่ยังไม่แต่งงานหรือยังไม่มีลูกครบจำนวนตามที่ต้องการนั้น  จะไม่สามารถบอกได้เลยว่ารายจ่ายจะเป็นอย่างไรในอนาคต  ดังนั้น  การคำนวณว่าเราจะต้องมีรายได้เท่าไรหรือพอร์ตลงทุนเท่าไรจึงจะทำให้เรามีความสุขค่อนข้างเต็มที่นั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย  คำแนะนำของผมก็คือ  เราควรจะมีเงินมากกว่าที่เราคิดว่าจำเป็นที่จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินซักเท่าตัวเพื่อเป็นหลักประกันว่าเราจะมีความสุขค่อนข้างเต็มที่ตาม  “ศักยภาพ”  ของเรา

          เรื่องที่สามที่ผมคิดว่าสำคัญมากและคนทั่วไปอาจจะไม่ตระหนักก็คือข้อสรุปที่ว่า  เมื่อความต้องการทางด้านวัตถุและบริการพื้นฐานของเราได้รับการตอบสนองแล้ว  งานที่เราพึงพอใจนั้นมีความสำคัญมากกว่าเงิน  สิ่งที่คนเราต้องการนั้น  ไม่ใช่สักแต่ว่าเป็นความสำเร็จ  แต่จะต้องเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความพยายามหรือความสามารถของเราไม่ใช่ความสำเร็จที่เกิดโดยโชคหรือความบังเอิญเช่น  การถูกหวยหรือลอตเตอรี่หรือจากการพนัน  เพราะจากการศึกษาพบว่า  คนที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลแจ็คพอตนั้น  หลังจาก 6 เดือนผ่านไป  ความสุขกลับลดลง  ผมเองคิดว่าคนที่เป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จและมีเงินมากนั้น  หลังจากเลิกเล่นแล้ว  แม้ว่าจะยังมีเงินแต่ความสุขน่าจะลดลงมาก  สำหรับ VI ที่ประสบความสำเร็จเองนั้น  ผมก็คิดว่า  ความสุขที่เกิดจากการได้เงินนั้นจะเกิดขึ้นมากในช่วงแรก ๆ  แต่ในระยะยาวต่อมาที่มีเงินมากขึ้นและมากขึ้น   ความสุขจากการได้เงินเพิ่มก็จะลดน้อยลงแต่จะกลายมาเป็นความสุขที่เกิดจากความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จจากการลงทุนมากกว่า  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนยังลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ  แม้ว่าจะมีเงินมากมายเหลือเฟือแล้ว

           เรื่องที่สี่ก็คือ  การศึกษาพบว่า  คนที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมนั้น  โดยทั่วไปมักจะมีความสุขมากกว่าพวกที่เป็นนักเสรีนิยม  เหตุผลนั้นผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะคนที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมนั้น  มักจะมีที่  “ยึดเหนี่ยว”  มากกว่า  พวกเขามีศรัทธาและความเชื่อต่อศาสนา  ครอบครัว  และขนบธรรมเนียมประเพณีโดยที่อาจจะไม่มีการ  “ตั้งคำถาม” อะไรที่จะทำให้จิตใจว้าวุ่น  ในขณะที่คนที่เป็นนักเสรีชนนั้น  มักจะคิดมากกว่าและตั้งคำถามกับสิ่งเป็นอยู่ ซึ่งบ่อยครั้ง  เขาอาจจะรู้สึกไม่เห็นด้วยและต่อต้าน – อย่างน้อยก็ในใจ  และนั่นก็อาจจะทำให้พวกเขารู้สึก  “แปลกแยก”  และทำให้มีความสุขน้อยลง

          การศึกษายังสรุปด้วยว่า  แหล่งของความสุขนั้น  อย่างน้อยมี 4 อย่างที่สำคัญและอยู่ในความควบคุมของเราเองและไม่เกี่ยวกับเรื่องของเงิน  นั่นก็คือ  ความศรัทธา  ครอบครัว เพื่อน  และงาน  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  คนเราจะมีความสุขมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเรามีหรือเราสร้างสิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นในทางที่ดี ๆ  ไว้มากน้อยแค่ไหนด้วย   คร่าว ๆ  ก็คือ  ถ้าเรามีศรัทธาในคำสอนหรือศาสนา  มีครอบครัวที่อบอุ่น  มีเพื่อนสนิทที่สามารถปรึกษาหารือได้  และมีงานที่เราพอใจและมีความสุขที่จะทำ  เราก็จะมีความสุขในระดับหนึ่งแล้วเมื่อเทียบกับคนที่  “ขาดตกบกพร่อง”  ในประเด็นดังกล่าว  ว่าที่จริงมีการศึกษาที่พบว่าคนที่เข้าโบสถ์โดยเฉลี่ยมีความสุขกว่าคนที่ไม่ไป  คนที่แต่งงานมักมีความสุขมากกว่าคนโสด  เช่นเดียวกับคนที่มีเพื่อนมากและคนที่พึงพอใจในงานที่มักจะมีความสุขมากกว่าคนที่มีเพื่อนน้อยและไม่ชอบงานของตนเอง

          การเป็น VI นั้น  ผมคิดว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียในแง่ของความสุข  เรื่องของพื้นฐานสุขภาพใจและกายที่เป็นเรื่องของยีนส์นั้น  เราเลือกไม่ได้เป็นเรื่องของ  “ดวง”  แต่การเป็น VIโดยเฉพาะที่ประสบความสำเร็จพอสมควรนั้น  ผมคิดว่าจะช่วย “ปลดปล่อย”  ความเครียดและความกังวลจากงานประจำและน่าจะมีเวลาที่จะดูแลสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้นซึ่งก็จะช่วยส่งเสริมให้มีความสุขมากขึ้น  นี่เป็นข้อดีที่ผมเห็นข้อแรก   เรื่องของเงินหรือความยากจนที่อาจจะทำให้ความสุขลดลงนั้น  ผมก็คิดว่าการเป็น VI น่าจะช่วยได้ไม่น้อย  โดยเฉพาะถ้าเราลงทุนทบต้นไปเรื่อย ๆ  ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินของเราเพิ่มพูนขึ้นตามอายุของเราซึ่งจะสอดคล้องกับรายจ่ายของเราที่มักจะเพิ่มขึ้นเมื่อเรามีลูกและต้องดูแลคนสูงอายุ  ดังนั้น  นี่ก็ส่งเสริมความสุข  ประเด็นต่อมาคือเรื่องของงานหรือความสำเร็จจากการกระทำนั้น  ผมเชื่อว่า  VI ส่วนใหญ่น่าจะชอบการลงทุนของตนเอง  พวกเขาอยากทำงานนี้  และจะมีความสุขเมื่อเห็นพอร์ตโตขึ้นอย่างมั่นคง  นี่ก็เป็นความสุขที่สำคัญ  สุดท้ายที่ผมคิดว่าการเป็น VI อาจจะไม่ได้ช่วยให้เกิดความสุขเพิ่มก็คือ เรื่องของแนวทางของความคิดและสังคม  นั่นก็คือ  VI นั้น  อาจจะเป็นคนที่ “คิดมาก”  กว่าปกติ  หลายคนเป็น “ศิลปินเดี่ยว”  มีความคิดที่อิสระและอาจจะมีเพื่อนน้อย  ซึ่งไม่ส่งเสริมการมีความสุข   อย่างไรก็ตาม  โดยรวมแล้ว  ผมคิดว่า  การเป็น VI นั้น  น่าจะเป็นหนทางที่มีความสุขมากขึ้นและมากกว่าคนอีกหลายอาชีพ

cr. ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากร