แม้เราจะได้เรียนรู้คุณลักษณะของหุ้น P/E ในแบบของ จอห์น เนฟฟ์ซึ่งมีประโยชน์ในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตโฟลิโอมาแล้ว แต่การบริหารพอร์ตโฟลิโอไม่ได้มีเฉพาะการคัดเลือกหุ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการติดตาม ปรับพอร์ตเอาหุ้นเดิมที่ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติออกไป เอาหุ้นใหม่ที่เหมาะสมกว่าเข้ามาโดย โดย จอห์น เนฟฟ์ ได้แนะนำเทคนิคในการบริหารพอร์ตเพิ่มเติมไว้ดังนี้
เทคนิคการจัดกลุ่มหุ้นแบบ Measured Participation
จอห็น เนฟฟ์ ได้เสนอมิติการแบ่งกลุ่มหุ้นโดยไม่สนใจประเภทอุตสาหกรรม แต่แบ่งตามการเติบโตของกำไร โดยแบ่งหุ้นออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
- กล่มที่มีอัตรากการเติบโตและเป็นที่นิยม (Highly Recognized Growth : HRG )
- กลุ่มที่มีอัตราการเติบโต แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม (Less Recognized Growth : LRG)
- กลุ่มที่มีอัตราการเติบโตปานกลาง (Moderate Growth : MG)
- กลุ่มที่อัตราการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ หรือ หุ้นวัฏจักร (Cyclical Growth : CG)
จอห์น เนฟฟ์ แนะนำว่า “หุ้นกลุ่ม HRG” มักมาจากบริษัทที่มีชื่อเสียงผู้บริโภครู้จักและจำชื่อสินค้าของบริษัทเหล่านี้ได้ดี บริษัทมีอัตราการเติบโตของผลประกอบการและกำไรสูง มีความมั่นคง มัำเป็นผู้นำตลาด นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างต้องการเป็นเจ้าของหุ้น HRG เกือบทั้งนั้น ความนิยมทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้มักอยู่ในกลุ่มดัชนีหุ้นชั้นนำของตลาด และราคาก็มักสูง (ทำให้ P/E สูงด้วย) นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ฉายาหุ้น HRG ว่า “One-dicision Stock” คือ ให้ซื้อและถือตลอดไป โดยมีสมมติฐานว่า บริษัท HRG เหล่านี้มีการเติบโตของกำไรอย่างไม่จำกัด ในขณะที่จำนวนหุ้นมีจำกัด นักลงทุนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่า ราคาคงจะเพิ่มไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเกิดอย่างนี้ได้ต้องมีนักลงทุนหน้าใหม่ที่เชื่อคนง่ายเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัดเช่นกัน จอห์น เนฟฟ์ ยกตัวอย่างหุ้นในดัชนี Nifty Fifty ซึ่งมี P/E สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่หุ้น P/E ต่ำ ไม่มีใครสนใจเลยจนหว่าจะเกิดความตกต่ำในตลาดหุ้น ผู้คนที่บาดเจ็บจากหุ้น HRG จึงจะหันมาสนใจหุ้น P/E ต่ำ ที่มีการเติบโตของกำไรดี แต่ไม่มีใครสนใจ (LPG) อย่างไรก็ดีกองทุน Windsor ก็ลงทุนในกลุ่ม HRG บ้าง โดยมีสัดส่วนประมาณ 8-9% ของมูลค่าการลงทุน
ถัดมาเป็น “หุ้นกลุ่ม LRG” โดยจอห์น เนฟฟ์ แนะนำว่า ขณะที่คนสนใจแต่หุ้น HRG ทำให้เรามีตัวเลือกมากมาย สำหรับพอร์ตการลงทุน P/E ต่ำของเราที่จริงแล้วบริษัทเหล่านี้มีอัตราการเติบโตของกำไรดีไม่น้อยกว่าของกลุ่ม HRG เพียงแต่ขาดวิสัยทัศน์ และขนาดไม่ใหญ่พอที่จะทำให้เกิดความสนใจในบางช่วงของการลงทุน สัดส่วนการลงทุนในหุ้น LRG ของกองทุน Windsor สูงถึง 33% โดยสัดส่วนที่เหมาะสมที่ จอห์น เนฟฟ์ แนะนำไว้อยู่ที่ประมาณ 25 %
ส่วน “หุ้นกลุ่ม MG” จอห์น เนฟฟ์ อธิบายว่า เป็นหุ้นที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาด แต่ด้วยผลการดำเนินงานที่ไม่ค่อยโดดเด่น นักลงทุนจึงไม่นิยมลงทุนและ P/E ก็มักจะต่ำ ถ้าสามารถวิเคราะห์ค้นหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีอนาคต P/E ของหุ้นกลุ่มนี้สามารถปรับเพิ่มขึ้น และจำทำให้เกิดกำไรมา ซึ่งกองทุน Windsor ลงทุนในกลุ่มนี้ ประมาณ 50% ของพอร์ตทั้งหมด
สุดท้าย คือ “หุ้นกลุ่ม CG” จะมีการเติบโตของกำไรในอัตราเฉลี่ย โดยในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น การเติบโตของกำไรจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ในช่วงวัฏจักรขาลง กำไรจะเติบโตน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด P/E ของหุ้นกลุ่มนี้จะผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งบริษัทที่ดีในกลุ่ม CG และมี P/E ต่ำ ก็ยังมีให้คัดเลือกอยู่เสมอ ดังนั้น กลยุทธ์การซื้อและขายหุ้นกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญมาก
กองทุน Windsor จะเข้าซื้อหุ้นกลุ่มนี้ก่อนที่กำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 6-9 เดือน และขายเมื่อมีสัญญานว่า ความต้องการในสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้มีการขยายตัวอย่างชัดเจน เช่น ดูจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายและกำไรโดยเฉลี่ยแล้ว กองทุน Windsor จะมีหุ้นวัฏจักรอยู่ประมาณ 30%
เทคนิคการกำหนดจำนวนหุ้นในพอร์ต
ในขณะที่กองทุน Windsor บริหารเงินทุน 11 พันล้านเหรียฐ กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นเพียง 60 บริษัท และ 40% ของเงินกองทุน ลงทุนในหุ้นเพียง 10 บริษัทเท่านั้น และเมื่อเจาะลึกลงไป 25% ของมูลค่าเงินลงทุน ลงในบริษัทน้ำมันเพียง 3 แห่งเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้พอร์ตมีจำนวนหุ้นมากเกินไป
เทคนิคการวิเคราะห์หุ้น
นักลงทุนมักจะสับสนว่า ควรเลือกใช้วิธี Top-down คือ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจากเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ลงไปหาตัวบริษัท หรือจะใช้วิธี Bottom-up คือ วิเคราะห์ที่บริษัทก่อน แล้วค่อยดูว่าบริษัทที่ดีเหล่านี้มีปัจจัยแวดล้อมด้านอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สนับสนุนหรือไม่ จอห์น เนฟฟ์ ให้ความเห็นว่าจะใช้วิธีอะไรก็ได้ จะดูอะไรก่อนหลังก่อนก็ได้ แต่ต้องดูควบคู่กันไป
เทคนิคการสร้างฐานข้อมูลเพื่อติดตามและตัดสินใจ
ในการสร้างและบริหารพอร์ต P/E ต่ำ จอห์น เนฟฟ์ สร้าง Fact Sheet เพื่อช่วยวิเคราะห์และติดตามหุ้นอย่างเป็นระบบ ข้อมูลที่เขาสนใจ ได้แก่ จำนวนหุ้นที่ลงทุน ต้นทุนเฉลี่ย ราคาปัจจุบัน กำไรต่อหุ้น และประมาณการอัตราการเติบโตทั้งในอดีตและที่คาดการณ์ P/E ในอดีตและที่คาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Yield) ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ราคาเป้าหมายบนพื้นฐานของกำไรที่คาดการณ์ P/E เป้าหมาย ตลอดจนโอกาสและศักยภาพที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งข้อมูลหลายตัวข้างต้น เป็นข้อมูลที่หาได้ง่าย เพราะมีการเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว
เทคนิคการขายหุ้นจากพอร์ต
จอห์น เนฟฟ์ กำหนดลักษณะของการขายหุ้นออกจากพอร์ต ดังนี้
- ปัจจัยพื้นฐานแย่ลง
- ราคาเท่ากับราคาเป้าหมายที่กำหนด
การลดลงหรือแย่ลงของปัจจัยพื้นฐานจะพิจารณาจากเกณฑ์ 2 ประการ คือ “กำไรที่คาดการณ์” และ “อัตราการเติบโต 5 ปี” หากเราไม่มั่นใจในปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ ให้ขายหุ้นออกทันที อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าปัจจัยพื้นฐานยังดีแต่ถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นไปเท่ากับราคาเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็สามารถขายหุ้นจากพอร์ต เพื่อนำรายได้และกำไรมาลงทุนกับหุ้นตัวใหม่ตามเกณฑ์ที่กำหนดต่อไป ( Reinvestment ) โดยเฉลี่ยแล้วถ้าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นยังดี กองทุน Windsor สามารถถือหุ้นไปนานถึง 3-5 ปี โดยอาจแบ่งขายทำกำไรบ้างระหว่างช่วงเวลาลงทุน จอห์น เนฟฟ์ เตือนว่าการถือหุ้นนานเกินไป ก็อาจเป็นปัญหาได้ เพราะอาจเกิดสถานการณ์ “ตกหลุมรัก” หุ้นในพอร์ตจนลืมจังหวะการขายออก เพื่อทำกำไรในช่วงเวลาที่เหมาะสม จงจำไว้ว่า “หุ้นทุกตัวที่เราเป็นเจ้าของ มีไว้เพื่อขายทั้งสิ้น” และ “ไม่จำเป็นต้องซื้อและถือหุ้นตลอดไป”
ฝากทิ้งท้ายไว้สักนิดว่า การลงทุนในหุ้นแบบ P/E ต่ำ เป็นกลยุทธ์การลงทุนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ไม่หวือหวา จอห์น เนฟฟ์ เองก็เห็นว่าหลักการดังกล่าวนี้เป็นการกระทำซ้ำๆ คงเส้นคงว่า สิ่งที่เหมือนกับการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในกลยุทธ์อื่นๆ ก็คือ “การค้นหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี” แต่สิ่งที่ต่างจากคนอื่นก็คือ “พยายามค้นหาของดี ราคาถูก” และ “เป็นของที่คาดการณ์แล้วว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง” จนส่งผลในทางบวกต่อผลตอบแทนจากการลงทุนในอนาคต หากท่านนักลงทุนอ่านแล้วคิดว่าชอบสไตล์การลงทุนแบบนี้ ลองนำหลักการไปสร้างและบริหารพอร์ตลงทุนด้วยตนเองได้เลยคับ ขอให้ทุกท่านโชคดีคับ