TMAN ชื่อ “ไทคอน แมนเนจเม้นท์” อาจจะเป็นที่ไม่คุ้นหูนัก แต่ถ้าบอกว่า นี่คือบริษัทลูกของ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) ซึ่งถือเป็นผู้นำด้านพัฒนาโรงงานนิคมอุตสาหกรรม ด้วยความเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงถึง 2 หมื่นล้านบาท จึงตั้งบริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ TMAN ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) โดยปักธงให้ TMAN เป็นผู้จัดการกองทรัสต์แถวหน้าของประเทศไทย
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “อมร จุฬาลักษณานุกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด (TMAN) ถึงทิศทางการบริหารเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายที่ปักธงไว้ มานำเสนอดังนี้
เนื่องจากบริษัทแม่คือ TICON มีเป้าหมายให้เราเข้ามาเป็นผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT Manager) ของอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในเครือ ทั้งประเภทโรงงานและคลังสินค้า ซึ่งล่าสุดคือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TREIT) ที่ได้เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้วในวันที่ 9 มกราคม
นอกจากนี้ TMAN ยังจะทำหน้าที่จัดหาอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพเข้ามาบริหารเพิ่มผ่าน REIT ด้วย ซึ่งก็มีเจ้าของสินทรัพย์หลายแห่งที่ติดต่อเข้ามาหาเรา เนื่องจากต้องการมารวมกลุ่มกับ TICON ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงและได้รับความเชื่อถือในวงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม
และไม่เพียงเท่านี้ เพราะมีบริษัท มิตซุย แอนด์ คัมปะนี (เอเชีย แปซิฟิก) หรือ MAP ที่เข้ามาถือหุ้นใน TMAN สัดส่วน 30% ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งกับเรา เนื่องจากเครือข่ายธุรกิจญี่ปุ่นของมิตซุยเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจบริหารจัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์REITประเภทการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์จึงเสมือนเป็นการติดปีกให้แก่การหาสินทรัพย์ชั้นดีในต่างประเทศด้วย
“เรามีโอกาสในการทำธุรกิจในต่างประเทศที่ดีจากการที่ได้มิตซุยเป็นพันธมิตรจะช่วยให้เราสามารถหาสินทรัพย์ในต่างประเทศได้ดีขึ้นโดยในญี่ปุ่นเองก็มีความโดดเด่นเรื่องคลังสินค้าในสิงคโปร์ก็มีความโดดเด่นด้านอาคารสำนักงาน ขณะเดียวกัน TICON ที่มีความสนใจออกไปลงทุนในตลาดเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย ดังนั้นถือว่าเรามีโอกาสทางธุรกิจรอบตัว”
“อมร” ยังวิเคราะห์ถึงโอกาสทางธุรกิจปีนี้ว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน ได้แก่ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่แพงมากเมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์ การมีโอกาสเติบโตได้ดีจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะส่งผลให้ความต้องการเช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งคลังสินค้า อาคารสำนักงาน มีแนวโน้ม ขยายตัวดี และที่สำคัญ จุดแข็งด้าน “ที่ตั้ง” ของประเทศไทยที่อยู่ในบริเวณจุดกึ่งกลางของการขนส่งสินค้าของประเทศในอาเซียน ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจอย่างมากในสินทรัพย์ประเภท “คลังสินค้า”
“ประเด็นเรื่องสินทรัพย์ในประเทศไทยต้องบอกว่า มีให้เลือกอยู่ตลอด โดยสินทรัพย์ประเภทคลังสินค้ามีโอกาสขยายตัวด้านรายได้ที่ดีตามความต้องการเช่า รองลงมาคือสินทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานที่จะมีอัตราการเช่าสูงขึ้น หากบริษัทต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทย แต่ถ้าเป็นโรงแรมก็อาจจะอยู่อันดับท้าย ๆ เพราะมีประเด็นเยอะ ทั้งฤดูกาลท่องเที่ยว ปัญหาการเมืองที่กดดันการเข้าพัก ซึ่งต้องพิจารณามากขึ้น”
เขาพูดถึงความน่าสนใจลงทุนในกองทุน REIT ว่า ต่างชาติยังให้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกมีปัญหาอย่างมาก ทั้งจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ความผันผวนทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ การฟื้นตัวของประเทศมหาอำนาจเช่นสหรัฐ แต่หลายคนยังไม่แน่ใจว่าปรับตัวดีขึ้นจริงหรือไม่ ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงต้องเริ่มหาการลงทุนใหม่ ๆ ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
ขณะที่นักลงทุนไทย เชื่อว่ายังมีความต้องการลงทุนอย่างมากเช่นกัน แต่หากว่ามีการจูงใจให้เห็นถึงข้อดีของการลงทุน REIT ซึ่งมีอสังหาทรัพย์เป็นสินทรัพย์อ้างอิงและสามารถจับต้องได้ และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระดับที่น่าสนใจ ก็น่าจะทำให้ REIT เป็นสินค้าการลงทุนที่ได้รับความนิยม
“ผลตอบแทน REIT ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์จะอยู่ระดับที่ไม่เกิน 6% แต่ของไทยอาจจะทำได้ดีกว่านั้น เช่น TREIT ของเราให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 7% และมีอัตราเช่าเฉลี่ย 100% ต่อปี ก็น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยและต่างชาติได้”
ด้วยโอกาสทั้งตัวสินทรัพย์และความต้องการลงทุนในREIT”คุณอมร”จึงตั้งเป้าหมาย 3-5 ปีจากนี้ TMAN จะขึ้นผู้จัดการกองทรัสต์อันดับ 1 ของประเทศไทยให้ได้