คุณภาพกับมูลค่า

 

คุณภาพ

ในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผมคิดว่าชาวหุ้นจำนวนมากยังมีความเสี่ยงสูง เพราะมองข้าม เรื่องสำคัญ 2 เรื่อง คือ คุณภาพ (Quality) และ มูลค่า Value)
ที่ผมพูดเช่นนี้ เพราะสังเกตเห็นว่า ชาวหุ้นส่วนใหญ่ มักจะสนใจเรื่องราคา (Price) หุ้นกัน อย่างสุดฤทธิ์สุดเดช
เวลาตั้งคำถามกับโบรกเกอร์ จึงออกมาว่า ควรจะซื้อหุ้นตัวไหนดี? โดยคิดว่า เมื่อได้ลงทุนตามคำแนะนำแล้ว จะทำกำไรได้แน่ๆ
หรือถ้าไม่ได้กำไร ก็มีโอกาสรีบขายตัดทิ้ง เพื่อลดความเสียหาย จากการลดลงของราคาหุ้น
ก่อนคนอื่นๆ
ความจริงแล้ว เวลาได้รับคำแนะนำว่าหุ้นตัวไหนเจ๋ง อย่าเพิ่งรีบซื้อ!
ให้พยายามประเมินก่อนว่า หุ้นตัวที่ว่ามีคุณภาพดีจริงหรือไม่? และถ้ามีจริง มูลค่าหุ้นควรเป็นเท่าไหร่?
พูดง่ายๆคือ ต้องพยายามเรียนรู้และเข้าใจให้ได้ว่า หุ้นตัวนั้น ทำธุรกิจอะไร? กำลังเติบโตหรือถดถอย?
ยี่ห้อสินค้าติดตลาดหรือไม่? คู่แข่งมีมากไหม? เป็นต้น
ถ้าดูแล้ว ธุรกิจของหุ้นอยู่ในเกณฑ์ดี ก็ถือว่าโอเค ผ่านรอบแรก
คุณภาพที่สองที่ต้องดูคือ คุณภาพของการบริหาร โดยต้องดูทั้งสภาสงคราม และแม่ทัพหุ้น
กล่าวคือต้องดูให้มั่นใจว่า คณะกรรมการบริษัทประกอบไปด้วยคนดีจริง มีความรู้ในด้านธุรกิจ
และมีความรู้ในการเป็นกรรมการมืออาชีพ
ไม่ใช่ กรรมการส่วนใหญ่ มีนามสกุลเดียวกัน แถมยังไม่เคยได้ยินคำว่า DCP เสียอีก
DCP ย่อมาจาก Directors Certification Program ซึ่งเป็นหลักสูตร 5 อาทิตย์ อาทิตย์ละ 1 วัน จัดโดย IOD
เพื่อให้ผู้ขันอาสามาเป็นกรรมการ ได้เข้าใจภาระหน้าที่การเป็นกรรมการ อย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล
ถ้ากรรมการส่วนใหญ่จบ DCP มา ชาวหุ้นก็สบายใจได้เปลาะหนึ่ง
ถามว่าจะรู้ได้ไง?
ก็ดูจากประวัติของกรรมการแต่ละคน ในรายงานประจำปีของหุ้นตัวนั้นๆได้เลย!
ส่วนตัวแม่ทัพคือ CEO คือตัวจักรสำคัญ คุณภาพของ CEO จึงเป็นเรื่องใหญ่
ผมได้อ่านเรื่องของ Mr. Jack Welch ซึ่งเป็นอดีต CEO ของ GE ปรากฎว่าตอนเข้าไปเป็น CEO ใหม่ๆ
Market cap ของ GE มีแค่ $16 พันล้าน พอตอนที่ลาออกมามีถึง $ 596 พันล้าน!
ถ้า CEO ในตลาดหุ้นเป็นอย่างนี้ได้ทุกคน ชาวหุ้นสบายใจหายห่วง เพราะCEOมีฝีมือแบบนี้
จะไม่อยู่เฉย แต่จะทำให้คุณภาพของผลดำเนินงาน ออกมาดีขึ้นปีแล้วปีเล่า
แม้ในปีที่เศรษฐกิจ หรือในช่วงเวลาวิกฤติ ก็สามารถประคองตัวบริษัทให้อยู่รอดปลอดภัย ปรับตัวให้แข็งแกร่ง ทยานกลับเข้ามาเก็บเกี่ยว ในช่วงเศรฐกิจขาขึ้นได้อีกด้วย
การดูคุณภาพนั้น ถ้าใครพอดูตัวเลขการเงินเป็น ยิ่งจะช่วยได้มาก
หุ้นที่มี ROE สูงๆ มี D/E ต่ำ มี Revenue Growth สูง เป็นหุ้นที่ถือว่ามีคุณภาพได้เป็นส่วนใหญ่เลย
ถ้าใครไม่รู้ ต้องรีบเรียน เดี๋ยวจับชีพจรหุ้นไม่เป็น จะพลาดได้ของดี อย่ามัวเสียเวลาเฝ้าดูแต่ราคาหุ้นอย่างเดียว ต้องดูผลประกอบการเป็นด้วย ทีนี้ พอเลือกได้หุ้นมีคุณภาพแล้ว ก้าวต่อไป ก่อนซื้อ ควรต้องหาวิธีประเมินมูลค่าหุ้นก่อน
เพื่อจะได้รู้เป็นแนวว่า หุ้นตัวที่จะซื้อน่าจะมีมูลค่าในอนาคต เป็นเท่าไหร่กันแน่
การหามูลค่าหุ้นนั้น ทำได้ตั้งแต่ง่ายจนถึงยาก แต่อย่าตกใจครับ ทำแบบไหนก็ได้
เพราะเอาเข้าจริง มูลค่าของหุ้นแต่ละตัว ก็ออกมาเป็นหลายค่าได้ สิ่งที่นักลงทุนควรทำ คือต้องรู้ให้ได้ว่า มูลค่าหุ้นที่จะซื้อ อยู่ในช่วงราคาไหนถึงไหน
พอได้มูลค่าหุ้นออกมา ก็ค่อยซื้อหุ้นตอนที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า (Under Value) ไม่ใช่ซื้อที่ราคาไหนก็ได้
มิฉะนั้น อาจเจ็บตัวฟรี แม้หุ้นตัวนั้นจะเป็นหุ้นมีคุณภาพดี เพราะซื้อสูงไป ก็ไม่คุ้มเหมือนกัน
ถ้าชาวหุ้นหันมาสนใจเรื่องคุณภาพ (Quality) และมูลค่า (Value) กันให้มากขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้น
ก็จะเป็นทางเลือก ที่ดีที่สุดในระยะยาว
เพราะหุ้นที่บริหารโดย CEO ดีฝีมือเยี่ยม จะทำหน้าที่คอยสร้างมูลค่า (Value Creation) ให้กับผู้ถือหุ้น
ทำให้เงินลงทุนของชาวหุ้น งอกเงยขึ้น
เชื่อขนมกินได้เลยครับ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

เคล็ดลับการลงทุน

images

ผมมีโอกาสไปบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับ กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งมีความตื่นตัวขึ้นมาก ในการลงทุน

คำถามหนึ่งที่นักศึกษา มักต้องถามคือ มีเงินน้อย จะซื้อหุ้นลงทุนอย่างไรดี

ผมมีความเห็นใจมาก เพราะตอนจบมาใหม่ๆ ก็ไม่มีเงินเหมือนกัน แต่ขอยืนยันว่า บทความชื่อ “การเงิน 6 มิติ” และ “การสร้างความมั่งคั่ง” เป็นการเขียนขึ้นจากประสบการจริง ซึ่งได้ช่วยทำให้ผม
มีได้อย่างทุกวันนี้
ประเด็นสำคัญคือ การมีเงินนั้น เป็นไปได้ ถ้ารู้จักเคล็ดลับการออม และเคล็ดลับการลงทุน
เคล็ดลับการออม เป็นเรื่องง่ายๆ คือต้องออมไว้อย่างน้อย 10% แต่เป็นเรื่องที่ยากมาก สำหรับคนที่ไม่มีดวงเป็นเศรษฐี
ครั้นสะสมเงินออมได้แล้ว ต้องมีเคล็ดลับการลงทุน โดยต้องเข้าใจว่า ทรัพย์สินที่มีไว้ให้ลงทุน
มีอยู่ 3 ชนิด

ทรัพย์สิน 3 ชนิดที่ว่า ได้แก่
1. เอาไว้เพื่อใช้เอง Utilizing Assets)2. เอาไว้เพื่อขาย Trading Assets)3.เอาไว้เพื่อหารายได้ Earnings Assets)
เป็นนักศึกษา จบมาใหม่ๆ มีงานทำ มีเงินออมบ้างนิดหน่อย คงต้องลงทุนในทรัพย์สินเพื่อใช้ก่อน
โดยเฉพาะบ้านและรถ เพราะถือว่าเป็นของจำเป็น แม้จะต้องกู้เงินมาเสริม ก็ต้องยอม

มีข้อแม้คือ ลงทุนเท่าที่จำเป็น แบบเศรษฐกิจพอเพียง อย่าเอาโก้
และต้องมั่นใจ ว่าจะผ่อนชำระคืนเงินกู้ได้ ทำอย่างนี้ได้ ถือว่าสอบผ่านด่านแรก

ทีนี้พอมีเงินมากขึ้น ก็เริ่มดูลู่ทางลงทุนใน Trading Assets เล็งดูทรัพย์สินที่มีโอกาสเพิ่มค่าเร็ว
เช่น หุ้น ที่ดิน ซื้อมาเพื่อขายทำกำไร เพื่อจะทำให้เงินที่มีอยู่ งอกเงยได้รวดเร็วขึ้น
มีข้อเตือนใจคือ การลงทุนแบบนี้ มีความเสี่ยงสูง เพราะราคาหุ้น ราคาที่ดิน อาจมีปัญหา ตกต่ำลงมาได้
เกิดขาดทุน ทำให้ใจเสีย
ผมก็เคยโดนมาแล้ว
เวลาได้กำไร รู้สึกว่าการหาเงินเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน ทำให้ย่ามใจ ขาดสติ เร่งลงทุนมาก จนเกินกำลัง
กว่าจะรอดมาได้ เหนื่อยเกือบตาย

แต่ก็มีบ้างบางคน ทำได้ดี มีเงินเป็นกอบเป็นกำ และดูๆไป คนส่วนใหญ่เวลานี้ ก็ชอบลงทุนแบบ Trading Assets เพราะต้องการเห็นผลเร็ว ได้เสีย รู้กันไปเลย อันเป็นนิสัย ของคนที่ชอบผจญภัย

เคล็ดลับการลงทุนแบบที่สาม คือลงทุนใน Earnings Assets หรือทรัพย์สินที่ให้รายได้คืนกลับมาอย่างต่อเนื่อง

การลงทุนแบบนี้ คือการลงทุนแบบห่านทองคำ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินธนาคาร การซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้ การลงทุนในหุ้นปันผล การซื้อคอนโดให้เช่า การสร้างอพาร์ตเมนต์ให้เช่า หรือทรัพย์สินอื่นๆ ที่สามารถให้กระแสรายได้ เข้ามาแบบระยะยาว

การลงทุนตามสไตล์ห่านทองคำ มีข้อดีคือ ไม่ต้องขายทรัพย์สินไปแบบ Trading Assets ซึ่งเน้นการขายทรัพย์สินเพื่อเอากำไร ครั้งเดียวจบ

กลยุทธหุ้นห่านทองคำ ก็ได้มาจากแนวคิดของ Earnings Assets โดยเน้นการลงทุนในหุ้นปันผล
ที่ดีคือ หุ้นปันผลที่ซื้อลงทุน อยู่ในตลาดหุ้น ทำให้มีโอกาสที่ดียิ่ง ในการลดต้นทุนหุ้นในมือ

การทำเช่นนี้ สามารถช่วยให้คนมีเงินน้อย มีโอกาสเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป
มีมากจนถึงขั้นว่า เงินปันผลที่ได้รับ สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว โดยไม่ต้องทำงานก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นครอบครัวที่ยึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ฟู่ฟ่า สามารถเป็นไท ได้อย่างสบาย
จึงหวังว่า นักศึกษาที่จบใหม่ มีเงินน้อย จะสามารถนำเคล็ดลับการลงทุนนี้ ไปปฏิบัติใช้ ให้เป็นประโยชน์ได้นะครับ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์