หุ้นท่องเที่ยว

การท่องเที่ยว หุ้น

       การท่องเที่ยวดูเหมือนว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่โตต่อเนื่องระยะยาวเป็นเมกาเทรนด์มานานมาก แม้แต่ในยามที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองรุนแรงและยาวนานกว่า 5-6 เดือน อย่างช่วงเร็ว ๆ นี้ การท่องเที่ยวก็ยังคงเติบโตได้ไม่ชะงักเหมือนกับธุรกิจอย่างอื่นทั้ง ๆ ที่การท่องเที่ยวน่าจะถูก “ผลกระทบ” มากกว่า เหตุผลที่การท่องเที่ยวเติบโตมาตลอดนั้นผมคิดว่ามีสาเหตุหลายประการนั่นคือ ข้อแรก การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่อาจจะพูดได้ว่า “ฝังอยู่ในยีนส์ของมนุษย์” นั่นก็คือ มนุษย์ที่อยู่รอดมาได้ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบันนั้นก็มักจะเป็นคนที่ชอบการท่องเที่ยวที่จะทำให้สามารถหาอาหารเลี้ยงดูตนเองและเผยแพร่เผ่าพันธุ์โดยการแต่งงานกับคนที่อยู่ต่างถิ่นที่ทำให้เผ่าพันธุ์แข็งแรงไม่เป็นโรคภัยได้ง่าย ดังนั้น คนทั่วโลกต่างก็ชอบการท่องเที่ยวเมื่อมีความสามารถที่จะทำได้

         ข้อสอง การ “เปิดประเทศ” เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวนั้น เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสของโลกาภิวัฒน์ที่ดำเนินมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น ข้อมูลข่าวสารที่สามารถส่งถึงกันทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำมากผ่านระบบอินเตอร์เน็ตก็ทำให้คนสนใจไปเที่ยวในประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และข้อสาม ที่อาจจะสำคัญที่สุดก็คือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนั้นผมคิดว่าแทบไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการพัฒนาของการบินโดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ำที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้นน้อยในขณะที่รายได้ของประชากรในโลกและประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ผลก็คือ คนรายได้ปานกลางสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศหรือจังหวัดไกล ๆ ได้มากขึ้นมาก และทั้งหมดนั้นก็คือเหตุผลที่ทำให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง—เฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย

จุดแข็งของประเทศไทยในเรื่องของการท่องเที่ยวนั้นผมคิดว่ามีอยู่ไม่น้อย ข้อแรกที่ผมคิดว่าค่อนข้างโดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นก็คือ คนไทยนั้น “ให้บริการ” ในแบบ “Human touch” หรือการมี “จิตใจ” ในการให้บริการสูง คนไทยจะมีนิสัยอ่อนน้อมกับผู้ที่ “อยู่สูงกว่าตน” เช่น อายุหรือตำแหน่งทางสังคมสูงกว่า นี่เป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมที่มีมานานและยังไม่ได้จางหายไปมากนัก ดังนั้น เวลาที่คนไทยให้บริการ เราก็มักจะดูว่านักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติหรือคนที่รวยกว่านั้น เป็นผู้ที่ “อยู่สูงกว่า” เราก็จะให้บริการอย่างอ่อนน้อมซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่คนมีความรู้สึก “เสมอภาค” กันมากกว่าและไม่รู้สึกว่าจะต้องอ่อนน้อมให้กับลูกค้าที่มารับบริการมากนัก ทำให้บริการในหลาย ๆ ประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทยนั้น มักจะมีความแข็งกระด้างกว่า ในหลาย ๆ แห่งที่ผมพบนั้น บริการอาจจะรวดเร็วมากแต่ความอ่อนโยนนั้นไม่ใคร่มี ดังนั้น ความประทับใจจึงไม่เกิดขึ้น

จุดแข็งข้อที่สองของไทยผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่ทะเลและชายหาดที่สามารถนอนเล่นอาบแดดได้ตลอดปี หาดทรายของไทยหลายแห่งสวยงามมีชื่อติดระดับโลก ดังนั้น คนในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นซึ่งจำนวนมากเป็นคนที่มีกำลังซื้อสูงจึงนิยมมาพักผ่อนตากอากาศ จริงอยู่ ประเทศที่มีอุณหภูมิคล้าย ๆ ประเทศไทยและมีชายหาดที่สวยงามไม่น้อยกว่าไทยก็มีอยู่หลายแห่ง แต่ประเทศเหล่านั้นหลายแห่งก็อาจจะยังไม่พัฒนามากนักโดยเฉพาะในด้านสาธารณูปโภคทางด้านที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทำให้ความนิยมของนักท่องเที่ยวน้อยกว่าหรือสามารถรับนักท่องเที่ยวได้น้อยกว่า

จุดเด่นข้อสุดท้ายที่ผมคิดว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ไทยมีความได้เปรียบในด้านของการท่องเที่ยวนั้น ผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวของประเทศไทยนั้น น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศ ในขณะที่คุณภาพอาจจะสูงกว่า ตัวอย่างเช่น ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยรถแท็กซี่หรือรถสาธารณะอื่น ๆ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักอย่างหนึ่งนั้น ในประเทศไทยค่อนข้างจะถูกและคุณภาพดีโดยเฉพาะในด้านของอาหาร นอกจากนั้น สินค้าโดยทั่วไปของไทยนั้นมีราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ดังนั้น เราจึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบต้นทุนต่ำประเภท “แบ็คแพ็ค” ได้มาก และก็มักจะได้รับการโหวตให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้อยู่เรื่อย ๆ

ธุรกิจหรือหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวนั้น มีหลายกลุ่มแต่ที่โดดเด่นและตรงที่สุดประกอบด้วยหุ้นบริษัทการบิน ท่าอากาศยาน และโรงแรมและอาหาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้ทั้งหมดจะต้องดีเสมอไป เหตุผลอยู่ที่ว่า การที่อุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่องยาวนานนั้นจริงอยู่ก่อให้เกิดความต้องการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม มันก็ดึงดูดให้ผู้เล่นทั้งหน้าเดิมและหน้าใหม่เข้ามาลงทุนให้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในยามที่กำลังการให้บริการเหลือล้น ราคาการให้บริการก็อาจจะลดลงทำให้ไม่มีใครอยากเปิดบริการใหม่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปที่จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้กำลังการให้บริการเริ่มจะไม่ใคร่เพียงพอและส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น ดังนั้น สำหรับธุรกิจการบินและโรงแรมแล้ว เวลาดี ๆ ของอุตสาหกรรมจะสลับกับเวลาที่ไม่ดีอยู่เรื่อย ๆ ในขณะที่ท่าอากาศยานนั้น ลักษณะของการเป็นผู้ให้บริการแทบจะรายเดียว ก็จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมเสมอ

มองในด้านของผลประกอบการจะพบว่า ธุรกิจทั้งสามต่างก็เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูงเมื่อเทียบกับรายได้ที่ได้รับ ดังนั้น ต้นทุนคงที่ของบริษัทต่าง ๆ จะสูง แต่ในด้านของต้นทุนแปรผัน หรือต้นทุนที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการนั้นจะต่ำมาก นั่นก็คือ ถ้าเครื่องบินบรรทุกผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 50% ของที่นั่งเป็น 70% รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะเป็นเพียงอาหารที่ต้องเพิ่มขึ้นเท่านั้น และนี่ก็คล้าย ๆ กับกรณีของโรงแรมที่มีผู้เข้าพัก 50% ซึ่งก็จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับการที่แขกเข้าพัก 70% และก็เช่นเดียวกับสนามบินที่ค่าใช้จ่ายผันแปรนั้นจะต่ำมากในขณะที่ต้นทุนคงที่ที่เป็นต้นทุนเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคาจะสูงมาก

ผลกระทบของบริษัทที่มีต้นทุนคงที่สูงและต้นทุนแปรผันต่ำก็คือ กำไรหรือขาดทุนของบริษัทจะมีความหวือหวามากขึ้นอยู่กับปริมาณของลูกค้าหรือธุรกิจ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ บริษัทที่มีปริมาณลูกค้าสูงกว่าจุดคุ้มทุนแล้ว การเพิ่มขึ้นของลูกค้าหรือรายได้จะช่วยเพิ่มกำไรได้สูง ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่าไร กำไรก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นจนกระทั่งเต็มกำลังการผลิต ในทางตรงกันข้าม ถ้าบริษัทมีลูกค้าน้อยลง บริษัทก็จะขาดทุนรุนแรงเนื่องจากต้นทุนคงที่ที่อยู่ในระดับสูงจะไม่ลดลง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นของกิจการอย่างการบินและโรงแรมนั้น การติดตามดู Demand กับ Supply รวมถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัทจึงเป็นหัวใจสำคัญ โดยที่การเปลี่ยนแปลงในด้านของการบินนั้นจะค่อนข้างรวดเร็วมากเนื่องจากธรรมชาติของเครื่องบินที่สามารถจะ “บิน” ได้ ซึ่งทำให้การปรับตัวของการผลิตทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการบินยังขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันที่ผันแปรอย่างรวดเร็วด้วย ทำให้การบินนั้นมีความผันผวนของผลประกอบการสูง ในส่วนของโรงแรมนั้น การปรับตัวของอุปสงค์และอุปทานจะทำได้ช้ากว่าเนื่องจากระยะเวลาของการสร้างโรงแรมต้องใช้เวลานาน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของผลประกอบการจึงเป็นไปอย่างไม่รวดเร็วนัก

ในส่วนของสนามบินนั้น ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสดใสกว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธุรกิจสนามบินนั้นเป็นธุรกิจที่มักถูกควบคุมโดยรัฐ ราคาค่าบริการจึงถูกควบคุมไม่ให้สูงเกินไปเพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวและเป็นการให้บริการแก่ประชาชนในเรื่องของการเดินทาง ดังนั้น กำไรของกิจการจึงไม่อาจจะทำได้เต็มที่หรือสูงสุดตาม Demand หรือความต้องการใช้ของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในยามที่ลูกค้าเพิ่มขึ้นผ่านจุดคุ้มทุนไปแล้ว กำไรก็จะเพิ่มขึ้นเร็วตามการเพิ่มของลูกค้าจนกว่าสนามบินจะ “เต็มกำลังการให้บริการ” และต้องลงทุนขยายสนามบินใหม่

ก่อนที่จะจบการวิเคราะห์ ผมคงต้องเตือนว่า เรายังต้องพิจารณาในด้านของราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวด้วยว่ามันจะต้องเหมาะสมกับพื้นฐานของมัน ซึ่งนอกจากธรรมชาติของธุรกิจแล้ว ก็ยังต้องคำนึงถึงความสามารถของผู้บริหารและปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัทด้วย

 

CR.ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากุล

กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูก ดร.นิเวศน์

green-investments-VI

ในช่วงที่ผมเริ่มเป็น VI ใหม่ ๆ เกือบ 20 ปีมาแล้วนั้น ผมเน้นซื้อหุ้นที่มีราคาถูก เหตุผลก็เพราะว่าในช่วงนั้นตลาดหุ้นตกต่ำมาก หุ้นในตลาดแทบทุกตัวต่างก็มีราคา “ถูก” การซื้อหุ้นที่มีราคาถูกจึงทำได้ง่าย กลยุทธการลงทุนของผมในตอนนั้นก็คือการซื้อหุ้นที่มีคุณภาพพอใช้ได้แต่มีราคาถูกมาก หรือไม่ก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาถูกพอสมควรทีเดียว ต่อมาเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นพร้อม ๆ กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ราคาหุ้นทั่วไปในตลาดก็ไม่ถูกเหมือนเดิมแต่ก็ยังค่อนข้างถูก กลยุทธการลงทุนของผมก็เปลี่ยนแปลงไป ผมหันมาลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดีมากที่มีราคาถูกหรือราคา “ไม่แพง” เป็นแนวลงทุนแบบ Super Stock จวบจนถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นปกติแล้วและตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาเต็มที่ตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น ส่งผลให้หุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะหุ้นซุปเปอร์สต็อกมีราคาแพงขึ้นมากจนแทบจะไม่เหลือ Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยในการลงทุน ปัญหาของผมก็คือ ถ้าเราได้รับปันผลมาหรือขายหุ้นบางตัวทิ้งเราควรจะเอาเงินไปลงทุนแบบไหน? และนี่นำมาสู่ประเด็นที่ผมจะพูด นั่นก็คือ กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูก—ที่ยังเหลืออยู่บ้างในตลาดหลักทรัพย์

ในภาวะปัจจุบันของตลาดหุ้นนั้น เรายังมีกลุ่มธุรกิจหลายกลุ่มที่มีหุ้นราคาถูกอยู่ในความหมายที่ว่า ค่า PE ยังต่ำกว่าหรือประมาณ 10 เท่าต้น ๆ ค่า PB ไม่ถึง 1 หรือหนึ่งเท่าเศษ ๆ และผลตอบแทนเงินปันผลมากกว่า 3-4% ของปีล่าสุด การที่หุ้นมีราคาถูกนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะว่าหุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ดีหรืออาจจะมีปัญหาการทำกำไรในอนาคตทำให้ตลาดไม่ให้คุณค่ามันเท่ากับธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม “ตลาดอาจจะผิด” ในบางอุตสาหกรรมหรือในหุ้นบางตัว ดังนั้น กลยุทธการลงทุนในหุ้นถูกของผมนั้น หลัก ๆ แล้วก็คือ พยายามหาหุ้นที่ “ถูกมาก” ที่ตัวธุรกิจหรือกิจการอาจจะไม่ “เลวร้าย” อย่างที่ตลาดหรือนักลงทุนทั่ว ๆ ไปคิด ลองมาดูกันไปทีละกลุ่มที่อาจจะเป็นเป้าหมายในการลงทุนเนื่องจากว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่ยังมีราคาถูกหรือไม่แพงในยามนี้

หุ้นกลุ่มแรกที่ยังถูกอยู่และก็คงถูกไปเรื่อย ๆ ก็คือหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร ผู้ผลิตสิ่งทอที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแฟชั่น และอุตสาหกรรมเหล็ก เป็นต้น หุ้นในกลุ่มนี้มีปัญหาว่าในระยะยาวแล้วอาจจะไม่สามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นซึ่งทำให้ธุรกิจต้องค่อย ๆ หดตัวลง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นถูกกลุ่มนี้จึงไม่มีประโยชน์ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจะยากมาก กลยุทธก็อาจจะเป็นว่าเราไม่สนใจจะดู อย่างไรก็ตาม คนที่เข้าใจกิจการอย่างลึกซึ้งก็อาจจะหาหุ้นที่ไม่ได้ผลิตสินค้า “ตะวันตกดิน” อย่างที่คนอื่นคิดแม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจเหล่านั้น ถ้าพบบริษัทที่มีอนาคตแต่ราคาถูกมากก็สามารถลงทุนได้ ประเด็นสำคัญก็คือ เราไม่ควรมองผลประกอบการระยะสั้นแล้วเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มตะวันตกดินแม้ว่าหุ้นจะมีราคาถูกมาก

หุ้นกลุ่มต่อมาที่ยังมีหุ้นราคาถูกอยู่บ้างก็คือหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างบ้านขายอานิสงค์จากการที่ราคาหุ้นในกลุ่มปรับตัวลงเมื่อเร็ว ๆ นี้จากผลกระทบเรื่องภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนตัวลง การที่หุ้นขายบ้านจัดสรรหรือทำคอนโดมีราคาถูกนั้นเป็นเพราะธุรกิจนี้อาจจะค่อนข้าง “อิ่มตัว” และมีคู่แข่งมาก อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนสูงตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ดังนั้น โดยปกติที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้มีราคาถูกจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุผล การที่จะหวังให้หุ้นมีค่า PE ที่สูงขึ้นจึงอาจจะหวังไม่ได้มากนัก ดังนั้น ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ นอกจากหุ้นจะต้องถูกมากแล้ว ผมคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่จะมีกำไรมากขึ้นอย่างน้อยในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้าอย่างค่อนข้างแน่ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ด้วยกำไรที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็น่าจะเพิ่มขึ้นตาม โดยที่ค่า PE ก็ยังเท่าเดิมหรือไม่น่าจะต่ำลง แต่ถ้าโชคดี ค่า PE ก็เพิ่มขึ้นด้วยเราก็จะได้ “สองเด้ง” ส่วนข้อที่ต้องระวังก็คือ อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ถ้ามีการปรับขึ้นแรง ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวลง เช่นเดียวกัน ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำลงไปอีก การซื้อบ้านก็อาจจะลดลงมาก และนั่นทำให้การลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงพอสมควร

หุ้นกลุ่มใหญ่มากกลุ่มหนึ่งที่ยังมีหุ้นราคาถูกอยู่พอสมควรก็คือหุ้นธุรกิจการเงินซึ่งรวมถึงหุ้น ธนาคาร เงินทุน และหลักทรัพย์ หุ้นในกลุ่มนี้ที่นักลงทุนให้คุณค่าน้อยทำให้มีค่า PE PB ไม่สูง และปันผลตอบแทนค่อนข้างดีนั้น เป็นเพราะเรื่องของความเสี่ยงที่ “รุนแรง” ในกรณีของบริษัทที่อิงอยู่กับการปล่อยกู้อย่างธนาคารพาณิชย์และบริษัทให้สินเชื่อเช่าซื้อทั้งหลาย โดยที่บริษัทเหล่านี้อาจจะประสบกับปัญหาหนี้เสียที่รุนแรงซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุนหนักหรืออาจจะล้มละลายได้เนื่องจากจำนวนเงินปล่อยกู้นั้นสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนทุนของบริษัทเอง ส่วนในกรณีของธุรกิจหลักทรัพย์เองนั้น การแข่งขันในธุรกิจรุนแรงและมักเป็นการแข่งขันกันทางด้านของราคาเป็นหลัก ในอีกด้านหนึ่งนั้น ปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทโบรกเกอร์เองนั้น ก็มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นอยู่กับภาวะของตลาด ซึ่งทำให้รายได้และกำไรของบริษัทมีความไม่แน่นอนสูงมาก ดังนั้นราคาหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์จึงไม่สามารถจะแพงเหมือนธุรกิจอื่นที่มีความแน่นอนกว่า

กลยุทธการลงทุนในธุรกิจปล่อยเงินกู้ไม่ว่าจะเป็นแบงค์หรือบริษัทให้กู้เช่าซื้อนั้น ผมคิดว่าการที่หุ้นมีราคาค่อนข้างถูกในช่วงนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกลัวเรื่องหนี้เสียที่อาจจะเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะในด้านของบุคคลธรรมดา ดังนั้น กลยุทธที่ควรใช้ก็คือ เราควรเลือกหุ้นที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มที่ราคาก็ถูกอยู่แล้ว นอกจากนั้น เราควรต้องดูว่าหนี้เสียของบริษัทนั้นจะสามารถควบคุมได้ไม่สูงเกินไป นอกจากนั้น ความสม่ำเสมอของผลงานในอดีตก็ควรจะต้องเป็นปัจจัยประกอบในการวิเคราะห์ด้วย ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์นั้น ผมคิดว่าถ้าจะลงทุนควรจะเน้นที่ความถูกมาก ๆ เช่น เฉพาะเงินสดที่มีในบริษัทก็อาจจะมากกว่าราคาหุ้นแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าเลิกบริษัทเอาเงินมาแบ่งกันก็อาจจะคุ้มแล้ว ผมเองไม่ทราบว่ายังมีหุ้นหลักทรัพย์ที่ถูกขนาดนั้นหรือไม่ แต่นี่ก็คือกลยุทธหนึ่งที่จะซื้อหุ้นหลักทรัพย์

หุ้นพลังงาน “ดั้งเดิม” บางตัว นี่คือหุ้นขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานที่มีมานาน หุ้นบางตัวนั้นขนาดใหญ่มากและทำธุรกิจหลากหลายเกี่ยวกับพลังงาน แม้ว่ากิจการจะมีกำไรผันผวนตามราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวไปเรื่อย ๆ แต่ในระยะยาวแล้ว กำไร “ปกติ” ของบริษัทก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่ทำให้ขาดแรง “เก็งกำไร” จากนักลงทุนรายย่อย นอกจากนั้น การเติบโตของกิจการเองก็ไม่สูง ทำให้ตลาดไม่ใคร่ให้คุณค่ามากนัก ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ที่ถือว่ายังมีหุ้นราคาถูกอยู่บ้างก็ควรจะต้องเข้าใจว่า ข้อแรก ราคานั้นไม่ได้ถูกมาก ข้อสอง การจะได้ผลตอบแทนมากและเร็วน่าจะยาก การลงทุนควรจะหวังว่าจะได้ผลตอบแทนพอสมควรและความเสี่ยงไม่สูง ส่วนกลยุทธการลงทุนก็เช่นเคย ต้องเน้นที่หุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน ขณะเดียวกัน ผลประกอบการก็จะต้องมีความสม่ำเสมอมั่นคงพอสมควร และปันผลที่ได้ก็ต้องค่อนข้างดี อย่างน้อยควรจะได้ถึง 4%ในปีล่าสุด

ทั้งหมดนั้นก็คือกลยุทธคร่าว ๆ ของการลงทุนในหุ้นถูก—ที่ยังเหลืออยู่บ้างในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนนี้ สำหรับผมแล้ว มันเป็นการเลือกที่เรียกว่า “Second Best” คือ ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ และจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองชอบหรือถนัด แต่มันยังดีกว่าการเก็บเป็นเงินสดไว้ในธนาคาร การลงทุนในหุ้นถูกแบบนี้ อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ถือไว้ยาวนานมาก เราต้องคอยเฝ้าดูอยู่เสมอว่ามันถึงเวลาขายหรือยัง ไม่ใช่แค่ดูหุ้นตัวที่เราลงทุน แต่ต้องดูว่ามีโอกาสที่จะพบหุ้นตัวใหม่ที่ดีกว่าและถือลงทุนระยะยาวกว่าได้หรือไม่ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว นี่คือการลงทุนที่อาจจะไม่ “ถาวร” แต่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ และดังนั้น มันจะไม่ใช่ส่วนใหญ่ของพอร์ตของเรา