การเอาชนะ "เกมชีวิต" การลงทุนแบบ VI

        

     ตามที่เคยรู้กันมาแล้วว่า  การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งนั้นเป็นกลยุทธ์การลงทุนทีชาญฉลาด  การลงทุนแบบนี้จะทำให้คุณสามารถเอาชนะเกมที่สำคัญมากได้นั่นคือ  เกมชีวิต  เรื่องราวต่อไปนี้จะแสดงคำอธิบายของใจความข้างต้น

            ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการบริหารเวลาคนหนึ่งได้รับเชิญให้ไปบรรยายในห้องเรียนของนักศึกษาหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) แห่งหนึ่งหลังจากที่เธอได้เกริ่นบทนำไปแล้ว  เธอก็นำกระปุกแก้วใบหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างหน้าเธอ  จากนั้นเธอนำกล่องที่บรรจุหินก้อนใหญ่ออกมา  แล้วค่อยๆ หย่อนหินก้อนใหญ่เหล่านั้นลงในกระปุกแ้ก้วทีละก้อน  จนกระปุกแก้วเต็มไปด้วยก้อนหินและไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้ว  เธอถามนักศึกษาในห้องว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” ทุกคนตะโกนตอบว่า “เต็มแล้ว”

        จากนั้นเธอหยิบถังที่เต็มไปด้วยกรวดออกมาวางบนโต๊ะและค่อยๆ หย่อนใส่ลงไป  จากนั้นก็เขย่ากระปุกแก้วให้กรวดค่อยๆ ไหลลงไป  ซึ่งทำให้บรรดาก้อนกรวดค่อยๆ แทรกตัวลงไปเรื่อยๆ ตามช่องว่างระหว่างก้อนหินในที่สุดเธอใส่กรวดจนเต็มกระปุกแก้วจนไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้วเธอจึงถามนักศึกษาในห้องเรียนว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาคิดได้จึงรีบตอบไปว่า “ยัง”

        จากนั้นเธอก็ยกถังที่เต็มไปด้วยทรายออกมา และเริ่มเททรายลงในกระปุกแก้ว  ทรายเิริ่มไหลไปตามช่องว่าระหว่างก้อนหินและก้อนกรวดเธอใส่ทรายลงไปจนไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้ว  อีกครั้งหนึ่งที่เธอถามว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” แต่ครั้งนี้ทุกคนต่างตะโกนออกมาว่า “ยัง!” เธอจึงหยิบเหยือกน่ำออกมาและเทน้ำลงในกระปุกแก้วจนเต็มถึงขอบกระปุกแล้วเธอก็ถามทุกคนในห้องว่า “เรื่องนี้.. บอกอะไรแก่เราบ้าง?” นักศึกษาที่ดูท่าทางกระตือรือร้นคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เรื่องนี้บอกให้เรารู้ว่าไม่ว่าตารางเวลาจะเต็มแค่ไหนก็ตาม  เราก็ยังสามารถเพิ่มการนัดประชุมเข้าไปได้อีก!”

        เธอตอบว่า “พยายามดีมากแต่ยังไม่ใช่  ความจริงที่อยากให้ทุกคนเข้าใจในเรื่องนี้ก็คือ  ถ้าคุณไม่ใส่ก้อนหินลงไปก่อน คุณจะไม่มีวันใส่มันเข้าไปได้อีกเลย” สำหรับเราทุกคน “หินก้อนใหญ่” มีความหมายที่แตกต่างไป  แต่แก่นของมันคือ  หินก้อนใหญ่จะเป็นสิ่งที่มีความหมายสูงสุดต่อชีวิตของเรา

       นักลงทุนที่ทำตามกลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งมักจะต้องใช้เวลาว่างอันมีค่าของเขาไปกับการเฝ้าดูข่าวธุรกิจล่าสุด  เรียนรู้เทคนิคและกราฟต่างๆ อ่านหนังสือที่เีกี่ยวกับการเงินและอื่นๆ จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาทำอยู่ก็คือการให้ความสำคัญต่อก้อนกรวด  ทรายและน้ำ ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจำนวนน้อยจะสามารถบรรลุถึงความสำเร็จในเกมการลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งได้ แต่ “ราคา” ของความสำเร็จนั้นอาจเป็นว่าเขาสูญเสียเกมชีวิตที่สำคัญกว่ามากนัก

       คำถามที่คุณควรจะพิจารณาก็คือ  อะไรเป็น “หินก้อนใหญ่” ในชีวิตของคุณ? หินก้อนใหญ่ในชีวิตของคุณกำลังพยายามสร้างผลตอบแทนพิเศษผ่านการลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งซึ่งทำให้คุณต้อง “ลงทุน” ด้วยการใช้เวลาที่มีค่าของคุณไปอย่างมากมายใช่หรือไม่ ? หินก้อนใหญ่ในชีิวิตของคุณคือ การมอบเวลาให้แก่คนที่คุณรัก  คนที่คุณศรัทธา การศึกษาของคุณ ความฝันของคุณ สิ่งที่มีค่าต่อคุณ  การสอน  หรือการเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้อื่นใช่หรือไม่? ถ้าคุณยังไม่รู้คำตอบเลย  บางทีเรื่องนี้อาจจะพอช่วยคุณได้

       ไม่นานหลังจากที่หนังสือเล่มแรกของผมตีพิมพ์ในปี 1998 ผมได้รับโทรศัพท์จากนายแพทย์คนหนึ่ง  เขาเพิ่งทำงานมาได้ไม่กี่ปี  เขาีภรรยาและลูกน้อยคนหนึ่ง  และภรรยากำลังอุ้มท้องลูกคนที่สองด้วย  เขาชื่นชมกับตลาดขาขึ้นและอยู่ในห้องค้าตลอดทั้งวัน  เขาเห็นเพื่อนๆ ที่เป็นแพทย์ด้วยกันสามารถทำรายได้ก้อนโตจากการซื้อขายหุ้น  และเขาคิดว่าเขาควรจะมีโอกาสหาเงินง่ายๆ แบบนั้นได้บ้าง

      หลังจากทำงานมาตลอดทั้งวัน  เขาก็พุ่งเข้าหาเครื่องคอมพิวเตอร์และเริ่มท่องอินเทอร์เน็ต  เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงศึกษากราฟและรายงานการลงทุนและยังเข้าไปพูดคุยในแชตรูมอีกด้วย  ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเขาเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินก้อนเล็กๆ ของเขา  และจำนวนนั้นก็กลายเป็นเงินจำนวน 100,000 ดอลล่าร์  และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความโชคร้ายเพราะภรรยาของเขาเริ่มหมดโอกาสจะมีสามี  เช่นเดียวกับลูกๆ ของเขาก็เริ่มหมดโอกาสที่จะมีพ่อ  เพราะเขาได้แต่งงานใหม่ไปกับการลงทุนของเขาแล้ว  ภรรยาของเขาเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังถึงการแต่งงานของพวกเขา  แต่โชคดีที่ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น  เขาก็สูญเสียกำไรที่ได้มาทั้งหมด

      โชคดีอีกข้อหนึ่งคือ  นายแพทย์คนนี้เข้าใจแล้วว่า  กำไรเดิมของเขาเป็นความโชคดี  และเขาเป็นเพียงผู้ตักตวงผลประโยชน์คนหนึ่งในตลาดขาขึ้นเท่านั้น  ที่สำคัญไปกว่า  เขายังเริ่มเรียนรู้ด้วยว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับครอบครัวของเขาเลย  เมื่อเขาได้คุยเรื่องนี้กับเพื่อนคนหนึ่ง  เพื่อนของเขาจึงแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง “The Only Guide to a Winning Investment Strategey You’ll Ever Need” หลังจากที่ได้อ่านหนังสือจนจบแล้ว  เขาจึงโทรศัพท์หาผมเพื่อของคุณที่ผมได้ช่วยเหลือเขาให้ค้นพบเกมแห่งผู้ชนะในการลงทุน  หากให้พูดตรงกว่านั้นก็คือ  ช่วยเขาให้ค้นพบเกมแห่งชัยชนะในการดำเนินชีวิต  จากนี้ไปเขารู้วิธีที่จะให้ความสำคัญกับ “หินก้อนใหญ่” แล้ว

        สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นราวหนึ่งปีหลังจากหนังสือเล่มแรกของผมตีพิมพ์ ผมได้พบกับ  ริค  ฮิลล์ (Rick Hill) ริคเป็นนักลงทุนหัวสมัยใหม่ที่จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จากวอร์ตัน (คณะบริหารธุรกิจ  มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย) ริคมีประสบการณ์ด้านการจัดการการเงินมานานกว่า 30 ปี   หลังจากที่เขาได้พบกับเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งและได้อ่านหนังสือของผม  ริคก็กลายมาเป็นลูกค้าของผม  ในที่สุดริคก็ได้ไปทำงานในบริษัทจัดการกองทุนบัคกิงแฮมในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงิน  ซึ่งทำให้เขาสามารถช่วยคนอื่นๆ ให้มีความสุขกับการลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งได้  หลังจากที่ทำงานไประยะหนึ่ง เขาก็แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองให้ผมได้รับรู้

         ริคบอกผมว่า  เขาเคยใช้เวลาหลายๆ ชั่วโมงทุกวันเพื่ออ่านบรรดาเอกสารทางการเงิน  บทความวิจัยเกี่ยวกับหุ้น  และเฝ้าดูข่าวการเงินต่างๆ นึ่คือกิจกรรมหลังจากใช้เวลาทำงานทั้งวันที่ออฟฟิศ  แต่เมื่อเขาปรับมาใช้หลักการของทฤษฏีการจัดพอร์ตการลงทุนแนวทางใหม่  พร้อมกับการสร้างสมมติฐานของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ  และใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งแล้ว  เขาก็ได้พบว่าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป  เขาได้รู้แล้วว่าเขามัวแต่ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเสียงรบกวนที่คอยหันเหให้เขายิ่งห่างไกลออกไปจากเกมของผู้ชนะ

         ริคและภรรยามาจับเข่าคุยกันและคำนวณได้ว่า  หากเขารับเอาวิธีการลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งมาใช้  เขาจะสามารถมีเวลาเพิ่มขึ้นได้ถึง 6 สัปดาหืในหนึ่งปี  นั่นคือ  6 สัปดาห์ที่เขาสามารถทำกิจกรรมให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นได้  อย่างไรก็ตาม  ริครู้ด้วยว่ากิจกรรมในอดีตที่เขาเคยทำและไม่ก่อให้เกิดผลผลิตใดๆ ออกมาเลยนั้นเป็นเพราะค่าใช้จ่ายและภาษีที่เกิดขึ้นนั่นเอง  มันเกิดจากกลยุทธ์ที่ไปซื้อขายบ่อยๆ ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดที่เขามีนั่นคือ “เวลา” เขามีเวลาจำกัดและไม่ต้องการจะเสียเวลากับสิ่งไร้สารอีกต่อไป

CR. กลยุทธ์การลงทุนแบบวอร์เรน  บัฟเฟตต์

การเอาชนะ “เกมชีวิต” การลงทุนแบบ VI

        

     ตามที่เคยรู้กันมาแล้วว่า  การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งนั้นเป็นกลยุทธ์การลงทุนทีชาญฉลาด  การลงทุนแบบนี้จะทำให้คุณสามารถเอาชนะเกมที่สำคัญมากได้นั่นคือ  เกมชีวิต  เรื่องราวต่อไปนี้จะแสดงคำอธิบายของใจความข้างต้น

            ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการบริหารเวลาคนหนึ่งได้รับเชิญให้ไปบรรยายในห้องเรียนของนักศึกษาหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) แห่งหนึ่งหลังจากที่เธอได้เกริ่นบทนำไปแล้ว  เธอก็นำกระปุกแก้วใบหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างหน้าเธอ  จากนั้นเธอนำกล่องที่บรรจุหินก้อนใหญ่ออกมา  แล้วค่อยๆ หย่อนหินก้อนใหญ่เหล่านั้นลงในกระปุกแ้ก้วทีละก้อน  จนกระปุกแก้วเต็มไปด้วยก้อนหินและไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้ว  เธอถามนักศึกษาในห้องว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” ทุกคนตะโกนตอบว่า “เต็มแล้ว”

        จากนั้นเธอหยิบถังที่เต็มไปด้วยกรวดออกมาวางบนโต๊ะและค่อยๆ หย่อนใส่ลงไป  จากนั้นก็เขย่ากระปุกแก้วให้กรวดค่อยๆ ไหลลงไป  ซึ่งทำให้บรรดาก้อนกรวดค่อยๆ แทรกตัวลงไปเรื่อยๆ ตามช่องว่างระหว่างก้อนหินในที่สุดเธอใส่กรวดจนเต็มกระปุกแก้วจนไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้วเธอจึงถามนักศึกษาในห้องเรียนว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาคิดได้จึงรีบตอบไปว่า “ยัง”

        จากนั้นเธอก็ยกถังที่เต็มไปด้วยทรายออกมา และเริ่มเททรายลงในกระปุกแก้ว  ทรายเิริ่มไหลไปตามช่องว่าระหว่างก้อนหินและก้อนกรวดเธอใส่ทรายลงไปจนไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้ว  อีกครั้งหนึ่งที่เธอถามว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” แต่ครั้งนี้ทุกคนต่างตะโกนออกมาว่า “ยัง!” เธอจึงหยิบเหยือกน่ำออกมาและเทน้ำลงในกระปุกแก้วจนเต็มถึงขอบกระปุกแล้วเธอก็ถามทุกคนในห้องว่า “เรื่องนี้.. บอกอะไรแก่เราบ้าง?” นักศึกษาที่ดูท่าทางกระตือรือร้นคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เรื่องนี้บอกให้เรารู้ว่าไม่ว่าตารางเวลาจะเต็มแค่ไหนก็ตาม  เราก็ยังสามารถเพิ่มการนัดประชุมเข้าไปได้อีก!”

        เธอตอบว่า “พยายามดีมากแต่ยังไม่ใช่  ความจริงที่อยากให้ทุกคนเข้าใจในเรื่องนี้ก็คือ  ถ้าคุณไม่ใส่ก้อนหินลงไปก่อน คุณจะไม่มีวันใส่มันเข้าไปได้อีกเลย” สำหรับเราทุกคน “หินก้อนใหญ่” มีความหมายที่แตกต่างไป  แต่แก่นของมันคือ  หินก้อนใหญ่จะเป็นสิ่งที่มีความหมายสูงสุดต่อชีวิตของเรา

       นักลงทุนที่ทำตามกลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งมักจะต้องใช้เวลาว่างอันมีค่าของเขาไปกับการเฝ้าดูข่าวธุรกิจล่าสุด  เรียนรู้เทคนิคและกราฟต่างๆ อ่านหนังสือที่เีกี่ยวกับการเงินและอื่นๆ จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาทำอยู่ก็คือการให้ความสำคัญต่อก้อนกรวด  ทรายและน้ำ ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจำนวนน้อยจะสามารถบรรลุถึงความสำเร็จในเกมการลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งได้ แต่ “ราคา” ของความสำเร็จนั้นอาจเป็นว่าเขาสูญเสียเกมชีวิตที่สำคัญกว่ามากนัก

       คำถามที่คุณควรจะพิจารณาก็คือ  อะไรเป็น “หินก้อนใหญ่” ในชีวิตของคุณ? หินก้อนใหญ่ในชีวิตของคุณกำลังพยายามสร้างผลตอบแทนพิเศษผ่านการลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งซึ่งทำให้คุณต้อง “ลงทุน” ด้วยการใช้เวลาที่มีค่าของคุณไปอย่างมากมายใช่หรือไม่ ? หินก้อนใหญ่ในชีิวิตของคุณคือ การมอบเวลาให้แก่คนที่คุณรัก  คนที่คุณศรัทธา การศึกษาของคุณ ความฝันของคุณ สิ่งที่มีค่าต่อคุณ  การสอน  หรือการเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้อื่นใช่หรือไม่? ถ้าคุณยังไม่รู้คำตอบเลย  บางทีเรื่องนี้อาจจะพอช่วยคุณได้

       ไม่นานหลังจากที่หนังสือเล่มแรกของผมตีพิมพ์ในปี 1998 ผมได้รับโทรศัพท์จากนายแพทย์คนหนึ่ง  เขาเพิ่งทำงานมาได้ไม่กี่ปี  เขาีภรรยาและลูกน้อยคนหนึ่ง  และภรรยากำลังอุ้มท้องลูกคนที่สองด้วย  เขาชื่นชมกับตลาดขาขึ้นและอยู่ในห้องค้าตลอดทั้งวัน  เขาเห็นเพื่อนๆ ที่เป็นแพทย์ด้วยกันสามารถทำรายได้ก้อนโตจากการซื้อขายหุ้น  และเขาคิดว่าเขาควรจะมีโอกาสหาเงินง่ายๆ แบบนั้นได้บ้าง

      หลังจากทำงานมาตลอดทั้งวัน  เขาก็พุ่งเข้าหาเครื่องคอมพิวเตอร์และเริ่มท่องอินเทอร์เน็ต  เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงศึกษากราฟและรายงานการลงทุนและยังเข้าไปพูดคุยในแชตรูมอีกด้วย  ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเขาเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินก้อนเล็กๆ ของเขา  และจำนวนนั้นก็กลายเป็นเงินจำนวน 100,000 ดอลล่าร์  และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความโชคร้ายเพราะภรรยาของเขาเริ่มหมดโอกาสจะมีสามี  เช่นเดียวกับลูกๆ ของเขาก็เริ่มหมดโอกาสที่จะมีพ่อ  เพราะเขาได้แต่งงานใหม่ไปกับการลงทุนของเขาแล้ว  ภรรยาของเขาเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังถึงการแต่งงานของพวกเขา  แต่โชคดีที่ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น  เขาก็สูญเสียกำไรที่ได้มาทั้งหมด

      โชคดีอีกข้อหนึ่งคือ  นายแพทย์คนนี้เข้าใจแล้วว่า  กำไรเดิมของเขาเป็นความโชคดี  และเขาเป็นเพียงผู้ตักตวงผลประโยชน์คนหนึ่งในตลาดขาขึ้นเท่านั้น  ที่สำคัญไปกว่า  เขายังเริ่มเรียนรู้ด้วยว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับครอบครัวของเขาเลย  เมื่อเขาได้คุยเรื่องนี้กับเพื่อนคนหนึ่ง  เพื่อนของเขาจึงแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง “The Only Guide to a Winning Investment Strategey You’ll Ever Need” หลังจากที่ได้อ่านหนังสือจนจบแล้ว  เขาจึงโทรศัพท์หาผมเพื่อของคุณที่ผมได้ช่วยเหลือเขาให้ค้นพบเกมแห่งผู้ชนะในการลงทุน  หากให้พูดตรงกว่านั้นก็คือ  ช่วยเขาให้ค้นพบเกมแห่งชัยชนะในการดำเนินชีวิต  จากนี้ไปเขารู้วิธีที่จะให้ความสำคัญกับ “หินก้อนใหญ่” แล้ว

        สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นราวหนึ่งปีหลังจากหนังสือเล่มแรกของผมตีพิมพ์ ผมได้พบกับ  ริค  ฮิลล์ (Rick Hill) ริคเป็นนักลงทุนหัวสมัยใหม่ที่จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จากวอร์ตัน (คณะบริหารธุรกิจ  มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย) ริคมีประสบการณ์ด้านการจัดการการเงินมานานกว่า 30 ปี   หลังจากที่เขาได้พบกับเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งและได้อ่านหนังสือของผม  ริคก็กลายมาเป็นลูกค้าของผม  ในที่สุดริคก็ได้ไปทำงานในบริษัทจัดการกองทุนบัคกิงแฮมในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงิน  ซึ่งทำให้เขาสามารถช่วยคนอื่นๆ ให้มีความสุขกับการลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งได้  หลังจากที่ทำงานไประยะหนึ่ง เขาก็แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองให้ผมได้รับรู้

         ริคบอกผมว่า  เขาเคยใช้เวลาหลายๆ ชั่วโมงทุกวันเพื่ออ่านบรรดาเอกสารทางการเงิน  บทความวิจัยเกี่ยวกับหุ้น  และเฝ้าดูข่าวการเงินต่างๆ นึ่คือกิจกรรมหลังจากใช้เวลาทำงานทั้งวันที่ออฟฟิศ  แต่เมื่อเขาปรับมาใช้หลักการของทฤษฏีการจัดพอร์ตการลงทุนแนวทางใหม่  พร้อมกับการสร้างสมมติฐานของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ  และใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งแล้ว  เขาก็ได้พบว่าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป  เขาได้รู้แล้วว่าเขามัวแต่ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเสียงรบกวนที่คอยหันเหให้เขายิ่งห่างไกลออกไปจากเกมของผู้ชนะ

         ริคและภรรยามาจับเข่าคุยกันและคำนวณได้ว่า  หากเขารับเอาวิธีการลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งมาใช้  เขาจะสามารถมีเวลาเพิ่มขึ้นได้ถึง 6 สัปดาหืในหนึ่งปี  นั่นคือ  6 สัปดาห์ที่เขาสามารถทำกิจกรรมให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นได้  อย่างไรก็ตาม  ริครู้ด้วยว่ากิจกรรมในอดีตที่เขาเคยทำและไม่ก่อให้เกิดผลผลิตใดๆ ออกมาเลยนั้นเป็นเพราะค่าใช้จ่ายและภาษีที่เกิดขึ้นนั่นเอง  มันเกิดจากกลยุทธ์ที่ไปซื้อขายบ่อยๆ ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดที่เขามีนั่นคือ “เวลา” เขามีเวลาจำกัดและไม่ต้องการจะเสียเวลากับสิ่งไร้สารอีกต่อไป

CR. กลยุทธ์การลงทุนแบบวอร์เรน  บัฟเฟตต์

การเอาชนะ "เกมชีวิต" การลงทุนแบบ VI

        

     ตามที่เคยรู้กันมาแล้วว่า  การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งนั้นเป็นกลยุทธ์การลงทุนทีชาญฉลาด  การลงทุนแบบนี้จะทำให้คุณสามารถเอาชนะเกมที่สำคัญมากได้นั่นคือ  เกมชีวิต  เรื่องราวต่อไปนี้จะแสดงคำอธิบายของใจความข้างต้น

            ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการบริหารเวลาคนหนึ่งได้รับเชิญให้ไปบรรยายในห้องเรียนของนักศึกษาหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) แห่งหนึ่งหลังจากที่เธอได้เกริ่นบทนำไปแล้ว  เธอก็นำกระปุกแก้วใบหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างหน้าเธอ  จากนั้นเธอนำกล่องที่บรรจุหินก้อนใหญ่ออกมา  แล้วค่อยๆ หย่อนหินก้อนใหญ่เหล่านั้นลงในกระปุกแ้ก้วทีละก้อน  จนกระปุกแก้วเต็มไปด้วยก้อนหินและไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้ว  เธอถามนักศึกษาในห้องว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” ทุกคนตะโกนตอบว่า “เต็มแล้ว”

        จากนั้นเธอหยิบถังที่เต็มไปด้วยกรวดออกมาวางบนโต๊ะและค่อยๆ หย่อนใส่ลงไป  จากนั้นก็เขย่ากระปุกแก้วให้กรวดค่อยๆ ไหลลงไป  ซึ่งทำให้บรรดาก้อนกรวดค่อยๆ แทรกตัวลงไปเรื่อยๆ ตามช่องว่างระหว่างก้อนหินในที่สุดเธอใส่กรวดจนเต็มกระปุกแก้วจนไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้วเธอจึงถามนักศึกษาในห้องเรียนว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาคิดได้จึงรีบตอบไปว่า “ยัง”

        จากนั้นเธอก็ยกถังที่เต็มไปด้วยทรายออกมา และเริ่มเททรายลงในกระปุกแก้ว  ทรายเิริ่มไหลไปตามช่องว่าระหว่างก้อนหินและก้อนกรวดเธอใส่ทรายลงไปจนไม่สามารถใส่เข้าไปได้อีกแล้ว  อีกครั้งหนึ่งที่เธอถามว่า “กระปุกเต็มหรือยัง?” แต่ครั้งนี้ทุกคนต่างตะโกนออกมาว่า “ยัง!” เธอจึงหยิบเหยือกน่ำออกมาและเทน้ำลงในกระปุกแก้วจนเต็มถึงขอบกระปุกแล้วเธอก็ถามทุกคนในห้องว่า “เรื่องนี้.. บอกอะไรแก่เราบ้าง?” นักศึกษาที่ดูท่าทางกระตือรือร้นคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เรื่องนี้บอกให้เรารู้ว่าไม่ว่าตารางเวลาจะเต็มแค่ไหนก็ตาม  เราก็ยังสามารถเพิ่มการนัดประชุมเข้าไปได้อีก!”

        เธอตอบว่า “พยายามดีมากแต่ยังไม่ใช่  ความจริงที่อยากให้ทุกคนเข้าใจในเรื่องนี้ก็คือ  ถ้าคุณไม่ใส่ก้อนหินลงไปก่อน คุณจะไม่มีวันใส่มันเข้าไปได้อีกเลย” สำหรับเราทุกคน “หินก้อนใหญ่” มีความหมายที่แตกต่างไป  แต่แก่นของมันคือ  หินก้อนใหญ่จะเป็นสิ่งที่มีความหมายสูงสุดต่อชีวิตของเรา

       นักลงทุนที่ทำตามกลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งมักจะต้องใช้เวลาว่างอันมีค่าของเขาไปกับการเฝ้าดูข่าวธุรกิจล่าสุด  เรียนรู้เทคนิคและกราฟต่างๆ อ่านหนังสือที่เีกี่ยวกับการเงินและอื่นๆ จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาทำอยู่ก็คือการให้ความสำคัญต่อก้อนกรวด  ทรายและน้ำ ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจำนวนน้อยจะสามารถบรรลุถึงความสำเร็จในเกมการลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งได้ แต่ “ราคา” ของความสำเร็จนั้นอาจเป็นว่าเขาสูญเสียเกมชีวิตที่สำคัญกว่ามากนัก

       คำถามที่คุณควรจะพิจารณาก็คือ  อะไรเป็น “หินก้อนใหญ่” ในชีวิตของคุณ? หินก้อนใหญ่ในชีวิตของคุณกำลังพยายามสร้างผลตอบแทนพิเศษผ่านการลงทุนแบบซื้อขายบ่อยครั้งซึ่งทำให้คุณต้อง “ลงทุน” ด้วยการใช้เวลาที่มีค่าของคุณไปอย่างมากมายใช่หรือไม่ ? หินก้อนใหญ่ในชีิวิตของคุณคือ การมอบเวลาให้แก่คนที่คุณรัก  คนที่คุณศรัทธา การศึกษาของคุณ ความฝันของคุณ สิ่งที่มีค่าต่อคุณ  การสอน  หรือการเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้อื่นใช่หรือไม่? ถ้าคุณยังไม่รู้คำตอบเลย  บางทีเรื่องนี้อาจจะพอช่วยคุณได้

       ไม่นานหลังจากที่หนังสือเล่มแรกของผมตีพิมพ์ในปี 1998 ผมได้รับโทรศัพท์จากนายแพทย์คนหนึ่ง  เขาเพิ่งทำงานมาได้ไม่กี่ปี  เขาีภรรยาและลูกน้อยคนหนึ่ง  และภรรยากำลังอุ้มท้องลูกคนที่สองด้วย  เขาชื่นชมกับตลาดขาขึ้นและอยู่ในห้องค้าตลอดทั้งวัน  เขาเห็นเพื่อนๆ ที่เป็นแพทย์ด้วยกันสามารถทำรายได้ก้อนโตจากการซื้อขายหุ้น  และเขาคิดว่าเขาควรจะมีโอกาสหาเงินง่ายๆ แบบนั้นได้บ้าง

      หลังจากทำงานมาตลอดทั้งวัน  เขาก็พุ่งเข้าหาเครื่องคอมพิวเตอร์และเริ่มท่องอินเทอร์เน็ต  เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงศึกษากราฟและรายงานการลงทุนและยังเข้าไปพูดคุยในแชตรูมอีกด้วย  ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเขาเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินก้อนเล็กๆ ของเขา  และจำนวนนั้นก็กลายเป็นเงินจำนวน 100,000 ดอลล่าร์  และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความโชคร้ายเพราะภรรยาของเขาเริ่มหมดโอกาสจะมีสามี  เช่นเดียวกับลูกๆ ของเขาก็เริ่มหมดโอกาสที่จะมีพ่อ  เพราะเขาได้แต่งงานใหม่ไปกับการลงทุนของเขาแล้ว  ภรรยาของเขาเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังถึงการแต่งงานของพวกเขา  แต่โชคดีที่ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น  เขาก็สูญเสียกำไรที่ได้มาทั้งหมด

      โชคดีอีกข้อหนึ่งคือ  นายแพทย์คนนี้เข้าใจแล้วว่า  กำไรเดิมของเขาเป็นความโชคดี  และเขาเป็นเพียงผู้ตักตวงผลประโยชน์คนหนึ่งในตลาดขาขึ้นเท่านั้น  ที่สำคัญไปกว่า  เขายังเริ่มเรียนรู้ด้วยว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับครอบครัวของเขาเลย  เมื่อเขาได้คุยเรื่องนี้กับเพื่อนคนหนึ่ง  เพื่อนของเขาจึงแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง “The Only Guide to a Winning Investment Strategey You’ll Ever Need” หลังจากที่ได้อ่านหนังสือจนจบแล้ว  เขาจึงโทรศัพท์หาผมเพื่อของคุณที่ผมได้ช่วยเหลือเขาให้ค้นพบเกมแห่งผู้ชนะในการลงทุน  หากให้พูดตรงกว่านั้นก็คือ  ช่วยเขาให้ค้นพบเกมแห่งชัยชนะในการดำเนินชีวิต  จากนี้ไปเขารู้วิธีที่จะให้ความสำคัญกับ “หินก้อนใหญ่” แล้ว

        สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นราวหนึ่งปีหลังจากหนังสือเล่มแรกของผมตีพิมพ์ ผมได้พบกับ  ริค  ฮิลล์ (Rick Hill) ริคเป็นนักลงทุนหัวสมัยใหม่ที่จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จากวอร์ตัน (คณะบริหารธุรกิจ  มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย) ริคมีประสบการณ์ด้านการจัดการการเงินมานานกว่า 30 ปี   หลังจากที่เขาได้พบกับเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งและได้อ่านหนังสือของผม  ริคก็กลายมาเป็นลูกค้าของผม  ในที่สุดริคก็ได้ไปทำงานในบริษัทจัดการกองทุนบัคกิงแฮมในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงิน  ซึ่งทำให้เขาสามารถช่วยคนอื่นๆ ให้มีความสุขกับการลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งได้  หลังจากที่ทำงานไประยะหนึ่ง เขาก็แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองให้ผมได้รับรู้

         ริคบอกผมว่า  เขาเคยใช้เวลาหลายๆ ชั่วโมงทุกวันเพื่ออ่านบรรดาเอกสารทางการเงิน  บทความวิจัยเกี่ยวกับหุ้น  และเฝ้าดูข่าวการเงินต่างๆ นึ่คือกิจกรรมหลังจากใช้เวลาทำงานทั้งวันที่ออฟฟิศ  แต่เมื่อเขาปรับมาใช้หลักการของทฤษฏีการจัดพอร์ตการลงทุนแนวทางใหม่  พร้อมกับการสร้างสมมติฐานของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ  และใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งแล้ว  เขาก็ได้พบว่าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป  เขาได้รู้แล้วว่าเขามัวแต่ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเสียงรบกวนที่คอยหันเหให้เขายิ่งห่างไกลออกไปจากเกมของผู้ชนะ

         ริคและภรรยามาจับเข่าคุยกันและคำนวณได้ว่า  หากเขารับเอาวิธีการลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้งมาใช้  เขาจะสามารถมีเวลาเพิ่มขึ้นได้ถึง 6 สัปดาหืในหนึ่งปี  นั่นคือ  6 สัปดาห์ที่เขาสามารถทำกิจกรรมให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นได้  อย่างไรก็ตาม  ริครู้ด้วยว่ากิจกรรมในอดีตที่เขาเคยทำและไม่ก่อให้เกิดผลผลิตใดๆ ออกมาเลยนั้นเป็นเพราะค่าใช้จ่ายและภาษีที่เกิดขึ้นนั่นเอง  มันเกิดจากกลยุทธ์ที่ไปซื้อขายบ่อยๆ ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดที่เขามีนั่นคือ “เวลา” เขามีเวลาจำกัดและไม่ต้องการจะเสียเวลากับสิ่งไร้สารอีกต่อไป

CR. กลยุทธ์การลงทุนแบบวอร์เรน  บัฟเฟตต์

การวางแผนจัดสรรเงินทุน และตารางการปรับสมดุล หุ้นแบบ VI

การวางแผนจัดสรรการลงทุน  และตารางการปรับสมดุล

      การวางแผนการลงทุนควรจะรวมถึงการจัดสรรการลงทุนและตารางการปรับสมดุล  ตารางควรจะรวมทั้งระดับเป้าหมายของสินทรัพย์ในแต่ละประเภท  ระดับต่ำสุด  และระดับสูงสุด  เพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่งเพราะการปรับสมดุลทุกครั้งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น  รวมถึงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหรือภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

กระบวนการปรับสมดุล

      ในช่วงการสะสมเงินลงทุนนั้น  จะมีวิธีการปรับสมดุลอยู่ 2 วิธี  วิธีแรกคือ การขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไป  และซื้อสิ่งที่มีราคาต่ำเข้ามาแทนที่  วิธีที่สองคือการเพิ่มเงินสดใหม่ๆ เข้ามาในการจัดสรรการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่มีระดับต่ำกว่าเป้าหมาย  การผสมผสานกลยุทธ์ทั้งสองวิธียังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อีกด้วย  แต่การเพิ่มเงินสดจะเป็นวิธีที่ดีกว่าเกิดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำกว่า  และยังไม่ก่อให้เกิดภาษีที่เกิดจากกำไรส่วนต่างมูลค่าหุ้นจากการขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไปตามวิธีแรกอีกด้วยและในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์  นักลงทุนก็อาจขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงออกไปได้
      กลยุทธ์หนึ่งที่ควรจะพิจารณาคือ  การกระจายพอร์ตการลงทุนออกไปโดยการใช้เงินสดเพิ่มเข้าไปในการลงทุนเพื่อการปรับสมดุลมากกว่าจะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเดิมไปลงทุนต่อโดยอัตโนมัติ  อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาถึงขนาดของพอร์ตการลงทุนและค่าธรรมเนี่ยมการทำธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นด้วย  สำหรับนักลงทุนรายย่อยนั้น ค่าธุรกรรมจะยังมีผลอย่างมากซึ่งอาจไม่ใช่เป็นกลยุทธ์ที่ดี  และนี่คือคำแนะนำการใช้กระบวนการปรับสมดุล :
  • จงพิจารณากองทุนที่ให้ผลตอแทนในอนาคตอันใกล้ (เช่น ประโยชน์จากการคืนภาษี  โบนัสการขาย หรือได้รับเงินปันผล ) ถ้าการปรับสมดุลทำให้เิกิดภาษีจากกำไรส่วนต่างราคาหุ้นที่ขายออกไปมันอาจจะดีกว่าที่จะรอไว้ก่อน
  • จงพิจารณาชะลดการปรับสมดุลออกไป  ซึ่งในระยะสั้นมักจะก่อให้เกิดส่วนต่างมูลค่าหุ้นจำนวนมาก  ขนาดของกำไรที่เกิดขึ้นควรเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเพราะยิ่งได้กำไรมาก  ผลประโยชน์ที่รอคอยซึ่งจะได้รับจากกำไรในระยะยาวก็ยิ่งมาก  ซึ่งยังต้องพิจารณาด้วยว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะมีเงินทุนก้อนใหม่เพื่อนำไปใช้ปรับสมดุล
  • ถ้าภาษีส่วนต่างมูลค่าหุ้นเกิดขึ้นจำนวนมาก  จงพิจารณาปรับสมดุลเพื่อลดภาษีที่เกิดขึ้นให้ต่ำที่สุด  ดีกว่าจะมาปรับปรุงการจัดสรรการลงทุนให้กลับไปสู่ระดับเป้าหมายเดิม

        จากนี้ไปเราจะเข้าสู่เรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งคือ  การจัดการภาษี


(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

         การจัดการภาษี

       กลยุทธ์เพื่อเอาชนะการลงทุนนั้นควรใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้ง  แต่การจัดการพอร์ตการลงทุึนแบบซื้อขายน้อยครั้งโดยไม่คำนึงถึงภาษีนั้นอาจเป็นสิ่งที่ผิด  นักลงทุนจะสามารถปรับปรุงผลตอบแทนหลังภาษีของพอร์ตการลงทุนได้โดยจัดการภาษีล่วงหน้า  ดังนั้นการจัดการภาษีจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการดังต่อไปนี้ :

  • จงเลือกประเภทการลงทุนที่สามารถลดภาระภาษีได้สูงสุด
  • จงพิจารณาขายหุ้นที่มีผลประกอบการขาดทุนมาทั้งปีถ้าผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้มากกว่าค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น  และนำเงินจากการขายหุ้นนั้นๆ  กลับไปลงทุนอีก (ในสหรัฐอเมริกา  ผลขาดทุนจากการขายหุ้นจะนำไปลดหย่อนภาษีได้)  ทั้งนี้จะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นไปตามกฏ wase sale ซึ่งเป็นการกระทำที่ลดหย่อนภาษีไม่ได้ (ในสหรัฐอเมริการ  กฏนี้หมายถึงการขายหุ้นอย่างขาดทุนและซื้อหุ้นที่ขายไปกลับมาทั้งหมดภายใน 30 วันเื่พื่อนำผลขาดทุนไปลดภาษี)  พอร์ตการลงทุนควรได้รับการตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ (อย่างน้อยที่สุดไตรมาสละึครั้ง)  เืพื่อพิจารณาว่าถึงเวลาจะขายหุ้นเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วหรือยัง  การรอจนถึงสิ้นปีจึงจะจัดการเรื่องภาษีอาจเป็นความผิดพลาด  เพราะความสูญเสียอาจอยู่ในช่วงต้นปีและอาจส่งผลครอบคลุมไปไม่ถึงช่วงสิ้นปี
  • จงขายกองทุนชุดที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุดก่อนเพื่อกำไรและก่อให้เกิดความเสียหายสูงสุด  ตามกฏหมายในปี 2012 ผู้รับฝากหลักทรัพย์ จะต้องติดตามข้อมูลเหล่านี้และแจ้งให้คุณทราบ
  • โดยทั่วไป  จงอย่าขายกองทุนระยะสั้งเพื่อผลกำไร  ให้รอจนกระทั่งผลกำไรดังกล่าวกลายเป็นผลกำไรระยะยาวไปแล้ว  จงระลึกเสมอว่าหากการจัดสรรหุ้นของคุณทำได้ดีกว่าเป้าหมายแล้ว  คุณอาจจะไม่อยากทำตามคำแนะนำนี้  จงเปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงที่ “มากเกิน” ของการถือครองหุ้น  กับผลประโยชน์ทางภาีษีที่จะได้รับในบางกรณีคุณอาจจะต้องยอมขาดทุนจากส่วนต่างมูลค่าหุ้นเสียก่อนจึงจะสามารถได้รับการชดเชยผลขาดทุนเหล่านี้ในภายหลัง
  • จงซื้อขายในช่วงใกล้กับวันจ่ายเงินปันผล  นักลงทุนไม่ควรซื้อจำนวนหุ้นในกองทุนใกล้วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผล  จงระลึกไว้ว่า  วันปิดสมุดทะเบียนไม่ใช่วันเดียวกับวันจ่ายเงินปันผลให้ผู้ที่ถือหุ้น  วันที่มีสิทธิรับเงินปันผลคือวันที่ชื่อของคุณปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนของบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นที่มีสิืทธิรับเงินปันผลแล้ว วันปิดสมุดทะเบียนคือวันถัดจากวันที่มีสิทธิรับเงินปันผลซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ราคากองทุนที่ซื้อขายมักจะตกต่ำลงหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของการกระจายพอร์ตการลงทุนที่คาดหวัง  คุณจึงไม่ควรพิจารณาซื้อกองทุนภายใน 30-60 วันหลังจากวันปิดสมุดทะเบียนแล้ว 
  • จงซื้อขายในช่วงสิ้นปี  กองทุนส่วนใหญ่มักจะกระจายการลงทุนออกมาปีละครั้ง  โดยปกติจะทำกันในเดือนธันวาคม  กองทุนบางหน่วยอาจจะทำบ่อยครั้งกว่า  และบางครั้งพวกเขาก็จะกระจายการลงทุนออกไปเป็นกรณีพิเศษด้วย  ลองตรวจสอบดูว่ามีการกระจายการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อทำกำไรตามปกติหรือกำไรระยะสั้งหรือไม่  ถ้าคุณกำลังพิจารณาซื้อกองทุนนั้นๆ ในช่วงที่มันอยู่ระหว่างกระจายการลงทุนอยู่ละก็  คุณควรจะรอจนกว่ากิจกรรมนั้นจะเสร็จสิ้นไปเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่ต้องจ่ายสำหรับกำไรที่ได้รับจากกองทุน  ถ้าคุณกำลังพิจารณาขายกองทุน  คุณควรจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการขายกองทุนก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่มีสิทธิรับเงินปันผล  เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้สินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นกำไรในระยะยาวและภาษีที่เกิดขึ้นก็เป็นภาษีอัตราต่ำระยะยาวอีกด้วย  ถ้าคุณกำลังจะขายกองทุนก้อนใหญ่ออกไปแต่มูลค่าน้อยกว่าภาษีที่คุณจะต้องจ่าย  จงพิจารณาขายกองทุนก่อนจะมีการกระจายการลงทุนออกไป  ถ้าไม่เช่นนั้น  คุณจะต้องจ่ายภาษีจากการกระจายการลงทุนทั้งๆ  ที่คุณก็ขาดทุนจากการขายกองทุนนั้นอยู่แล้ว  ดังนั้นจึงควรพิจารณาช่วงเวลาจะซื้อและขายกองทุนอย่างรอบคอบเพื่อคุณจะไม่ต้องมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น

        เราจะไปต่อถึงคำถามที่ว่า  คุณควรจะเป็นนักลงทุนที่ลงทุนด้วยตัวเองหรือควรจะจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน ?

การวางแผนจัดสรรเงินทุน และตารางการปรับสมดุล หุ้นแบบ VI

การวางแผนจัดสรรการลงทุน  และตารางการปรับสมดุล

      การวางแผนการลงทุนควรจะรวมถึงการจัดสรรการลงทุนและตารางการปรับสมดุล  ตารางควรจะรวมทั้งระดับเป้าหมายของสินทรัพย์ในแต่ละประเภท  ระดับต่ำสุด  และระดับสูงสุด  เพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่งเพราะการปรับสมดุลทุกครั้งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น  รวมถึงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหรือภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

กระบวนการปรับสมดุล

      ในช่วงการสะสมเงินลงทุนนั้น  จะมีวิธีการปรับสมดุลอยู่ 2 วิธี  วิธีแรกคือ การขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไป  และซื้อสิ่งที่มีราคาต่ำเข้ามาแทนที่  วิธีที่สองคือการเพิ่มเงินสดใหม่ๆ เข้ามาในการจัดสรรการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่มีระดับต่ำกว่าเป้าหมาย  การผสมผสานกลยุทธ์ทั้งสองวิธียังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อีกด้วย  แต่การเพิ่มเงินสดจะเป็นวิธีที่ดีกว่าเกิดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำกว่า  และยังไม่ก่อให้เกิดภาษีที่เกิดจากกำไรส่วนต่างมูลค่าหุ้นจากการขายสิ่งที่มีราคาสูงออกไปตามวิธีแรกอีกด้วยและในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์  นักลงทุนก็อาจขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงออกไปได้
      กลยุทธ์หนึ่งที่ควรจะพิจารณาคือ  การกระจายพอร์ตการลงทุนออกไปโดยการใช้เงินสดเพิ่มเข้าไปในการลงทุนเพื่อการปรับสมดุลมากกว่าจะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเดิมไปลงทุนต่อโดยอัตโนมัติ  อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาถึงขนาดของพอร์ตการลงทุนและค่าธรรมเนี่ยมการทำธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นด้วย  สำหรับนักลงทุนรายย่อยนั้น ค่าธุรกรรมจะยังมีผลอย่างมากซึ่งอาจไม่ใช่เป็นกลยุทธ์ที่ดี  และนี่คือคำแนะนำการใช้กระบวนการปรับสมดุล :
  • จงพิจารณากองทุนที่ให้ผลตอแทนในอนาคตอันใกล้ (เช่น ประโยชน์จากการคืนภาษี  โบนัสการขาย หรือได้รับเงินปันผล ) ถ้าการปรับสมดุลทำให้เิกิดภาษีจากกำไรส่วนต่างราคาหุ้นที่ขายออกไปมันอาจจะดีกว่าที่จะรอไว้ก่อน
  • จงพิจารณาชะลดการปรับสมดุลออกไป  ซึ่งในระยะสั้นมักจะก่อให้เกิดส่วนต่างมูลค่าหุ้นจำนวนมาก  ขนาดของกำไรที่เกิดขึ้นควรเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเพราะยิ่งได้กำไรมาก  ผลประโยชน์ที่รอคอยซึ่งจะได้รับจากกำไรในระยะยาวก็ยิ่งมาก  ซึ่งยังต้องพิจารณาด้วยว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะมีเงินทุนก้อนใหม่เพื่อนำไปใช้ปรับสมดุล
  • ถ้าภาษีส่วนต่างมูลค่าหุ้นเกิดขึ้นจำนวนมาก  จงพิจารณาปรับสมดุลเพื่อลดภาษีที่เกิดขึ้นให้ต่ำที่สุด  ดีกว่าจะมาปรับปรุงการจัดสรรการลงทุนให้กลับไปสู่ระดับเป้าหมายเดิม

        จากนี้ไปเราจะเข้าสู่เรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งคือ  การจัดการภาษี

         การจัดการภาษี

       กลยุทธ์เพื่อเอาชนะการลงทุนนั้นควรใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อขายน้อยครั้ง  แต่การจัดการพอร์ตการลงทุึนแบบซื้อขายน้อยครั้งโดยไม่คำนึงถึงภาษีนั้นอาจเป็นสิ่งที่ผิด  นักลงทุนจะสามารถปรับปรุงผลตอบแทนหลังภาษีของพอร์ตการลงทุนได้โดยจัดการภาษีล่วงหน้า  ดังนั้นการจัดการภาษีจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการดังต่อไปนี้ :

  • จงเลือกประเภทการลงทุนที่สามารถลดภาระภาษีได้สูงสุด
  • จงพิจารณาขายหุ้นที่มีผลประกอบการขาดทุนมาทั้งปีถ้าผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้มากกว่าค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น  และนำเงินจากการขายหุ้นนั้นๆ  กลับไปลงทุนอีก (ในสหรัฐอเมริกา  ผลขาดทุนจากการขายหุ้นจะนำไปลดหย่อนภาษีได้)  ทั้งนี้จะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นไปตามกฏ wase sale ซึ่งเป็นการกระทำที่ลดหย่อนภาษีไม่ได้ (ในสหรัฐอเมริการ  กฏนี้หมายถึงการขายหุ้นอย่างขาดทุนและซื้อหุ้นที่ขายไปกลับมาทั้งหมดภายใน 30 วันเื่พื่อนำผลขาดทุนไปลดภาษี)  พอร์ตการลงทุนควรได้รับการตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ (อย่างน้อยที่สุดไตรมาสละึครั้ง)  เืพื่อพิจารณาว่าถึงเวลาจะขายหุ้นเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วหรือยัง  การรอจนถึงสิ้นปีจึงจะจัดการเรื่องภาษีอาจเป็นความผิดพลาด  เพราะความสูญเสียอาจอยู่ในช่วงต้นปีและอาจส่งผลครอบคลุมไปไม่ถึงช่วงสิ้นปี
  • จงขายกองทุนชุดที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุดก่อนเพื่อกำไรและก่อให้เกิดความเสียหายสูงสุด  ตามกฏหมายในปี 2012 ผู้รับฝากหลักทรัพย์ จะต้องติดตามข้อมูลเหล่านี้และแจ้งให้คุณทราบ
  • โดยทั่วไป  จงอย่าขายกองทุนระยะสั้งเพื่อผลกำไร  ให้รอจนกระทั่งผลกำไรดังกล่าวกลายเป็นผลกำไรระยะยาวไปแล้ว  จงระลึกเสมอว่าหากการจัดสรรหุ้นของคุณทำได้ดีกว่าเป้าหมายแล้ว  คุณอาจจะไม่อยากทำตามคำแนะนำนี้  จงเปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงที่ “มากเกิน” ของการถือครองหุ้น  กับผลประโยชน์ทางภาีษีที่จะได้รับในบางกรณีคุณอาจจะต้องยอมขาดทุนจากส่วนต่างมูลค่าหุ้นเสียก่อนจึงจะสามารถได้รับการชดเชยผลขาดทุนเหล่านี้ในภายหลัง
  • จงซื้อขายในช่วงใกล้กับวันจ่ายเงินปันผล  นักลงทุนไม่ควรซื้อจำนวนหุ้นในกองทุนใกล้วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผล  จงระลึกไว้ว่า  วันปิดสมุดทะเบียนไม่ใช่วันเดียวกับวันจ่ายเงินปันผลให้ผู้ที่ถือหุ้น  วันที่มีสิทธิรับเงินปันผลคือวันที่ชื่อของคุณปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนของบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นที่มีสิืทธิรับเงินปันผลแล้ว วันปิดสมุดทะเบียนคือวันถัดจากวันที่มีสิทธิรับเงินปันผลซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ราคากองทุนที่ซื้อขายมักจะตกต่ำลงหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของการกระจายพอร์ตการลงทุนที่คาดหวัง  คุณจึงไม่ควรพิจารณาซื้อกองทุนภายใน 30-60 วันหลังจากวันปิดสมุดทะเบียนแล้ว 
  • จงซื้อขายในช่วงสิ้นปี  กองทุนส่วนใหญ่มักจะกระจายการลงทุนออกมาปีละครั้ง  โดยปกติจะทำกันในเดือนธันวาคม  กองทุนบางหน่วยอาจจะทำบ่อยครั้งกว่า  และบางครั้งพวกเขาก็จะกระจายการลงทุนออกไปเป็นกรณีพิเศษด้วย  ลองตรวจสอบดูว่ามีการกระจายการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อทำกำไรตามปกติหรือกำไรระยะสั้งหรือไม่  ถ้าคุณกำลังพิจารณาซื้อกองทุนนั้นๆ ในช่วงที่มันอยู่ระหว่างกระจายการลงทุนอยู่ละก็  คุณควรจะรอจนกว่ากิจกรรมนั้นจะเสร็จสิ้นไปเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่ต้องจ่ายสำหรับกำไรที่ได้รับจากกองทุน  ถ้าคุณกำลังพิจารณาขายกองทุน  คุณควรจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการขายกองทุนก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่มีสิทธิรับเงินปันผล  เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้สินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นกำไรในระยะยาวและภาษีที่เกิดขึ้นก็เป็นภาษีอัตราต่ำระยะยาวอีกด้วย  ถ้าคุณกำลังจะขายกองทุนก้อนใหญ่ออกไปแต่มูลค่าน้อยกว่าภาษีที่คุณจะต้องจ่าย  จงพิจารณาขายกองทุนก่อนจะมีการกระจายการลงทุนออกไป  ถ้าไม่เช่นนั้น  คุณจะต้องจ่ายภาษีจากการกระจายการลงทุนทั้งๆ  ที่คุณก็ขาดทุนจากการขายกองทุนนั้นอยู่แล้ว  ดังนั้นจึงควรพิจารณาช่วงเวลาจะซื้อและขายกองทุนอย่างรอบคอบเพื่อคุณจะไม่ต้องมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น

        เราจะไปต่อถึงคำถามที่ว่า  คุณควรจะเป็นนักลงทุนที่ลงทุนด้วยตัวเองหรือควรจะจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน ?