ช.การช่างคาดรายได้ปีนี้แตะ3.4หมื่นลบ.

“ช.การช่าง” คาดรายได้ปีนี้แตะ 3.4 หมื่นล้านบาท เล็งถือหุ้นบริษัทใหม่หลังควบ BMCL-BECL สัดส่วน 30%

นายประเสริฐ มริตตนะพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มงานบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดรายได้ปี 2558 จะใกล้เคียงกับปี 2557 ที่มีรายได้ประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากจะรับรู้รายได้จากงานในมือ ประมาณ 30%จากที่มีอยู่ ณ สิ้นปี 2557ที่ 104,928 ล้านบาท ส่วนงานใหม่บริษัทฯ คาดหวังจะได้งานประมาณ 20-25% ในการเข้าประมูลแต่ละโครงการ

ด้านนายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK กล่าวว่า กำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานปี 57 อยู่ที่ราว 10% ขณะที่คาดรายได้ปี57เกินกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปี 57 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) 1.05 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BMCL และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือ BECL ควบรวมเสร็จแล้ว ช.การช่าง จะเข้าไปถือหุ้นบริษัทใหม่ในสัดส่วน 30%จะทำให้บริษัทฯ สามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทใหม่ได้มากขึ้น และได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้นด้วย

โดยการควบรวมระหว่าง BMCL และ BECL จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้ง 2 บริษัท เพราะจะทำให้บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนและคมนาคมแบบครบวงจร สามารถขยายและต่อยอดธุรกิจ มีศักยภาพทางการเงิน การดำเนินงานและการแข่งขันแข็งแกร่งขึ้น สามารถลงทุนและแข่งขันได้ทั้งในและนอกประเทศ โดยเชื่อว่าบริษัทใหม่นี้จะทำให้เกิดผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแก่ผู้ทุกหุ้นทุกราย

“ช.การช่าง ยืนยันที่จะสนับสนุนการควบรวมของ 2 บริษัทอย่างเต็มที่ โดยบริษัทฯ จะซื้อหุ้น BMCL ที่BECL ถืออยู่จำนวน 10% มูลค่า 3,670 ล้านบาท และจะเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านด้วย ภายหลังที่บริษัทใหม่ควบรวมเรียบร้อยแล้ว ช.การช่างจะถือหุ้นบริษัทใหม่ 30%” นายปลิว กล่าว

CKคาดถือหุ้นบริษัทใหม่30%

“ปลิว” คาด ช.การช่างจะถือหุ้นบริษัทใหม่หลัง “BMCL-BECL” จำนวน 30% – เผยรายได้ปี 57 เกิน 3.3 หมื่นลบ.

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จากัด (มหาชน)หรือ CK เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BMCL และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BECL ควบรวมเสร็จแล้ว ช.การช่าง จะเข้าไปถือหุ้นบริษัทใหม่ในสัดส่วน 30% จะทำให้บริษัทฯสามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทใหม่ได้มากขึ้น และได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้นด้วย โดยการควบรวมระหว่าง BMCL และ BECL จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้ง 2 บริษัท เพราะจะทำให้บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนและคมนาคมแบบครบวงจร สามารถขยายและต่อยอดธุรกิจ มีศักยภาพทางการเงิน การดำเนินงานและการแข่งขันแข็งแกร่งขึ้น สามารถลงทุนและแข่งขันได้ทั้งในและนอกประเทศ โดยเชื่อว่าบริษัทใหม่นี้จะทำให้เกิดผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแก่ผู้ทุกหุ้นทุกราย

“ช.การช่าง ยืนยันที่จะสนับสนุนการควบรวมของ 2 บริษัทอย่างเต็มที่ โดยบริษัทฯจะซื้อหุ้น BMCL ที่ BECL ถืออยู่จำนวน 10% มูลค่า 3,670 ล้านบาท และจะเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านด้วย ภายหลังที่บริษัทใหม่ควบรวมเรียบร้อยแล้ว ช.การช่างจะถือหุ้นบริษัทใหม่ 30%” นายปลิว กล่าว

ส่วนการขายหุ้นของบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ให้แก่บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จากัด (มหาชน) หรือ CKP มูลค่ารวม 4,344 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดย CKP ถือว่าได้ซื้อโครงการที่มีความสำคัญและผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ต้องมีภาระการลงทุนที่สูงเกินไป เพราะหากทิ้งไว้จนงานก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการดังกล่าวจะมีราคาที่สูงมาก ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนโครงการที่ CKP จะได้รับต่ำลง ในส่วนของบริษัทฯสามารถรับรู้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวและได้รับกระแสเงินสดเข้าสู่บริษัทฯ

สำหรับการปรับโครงสร้างการลงทุนทั้ง 2 ส่วนนี้ ช.การช่าง มีความมั่นใจว่าจะทำให้บริษัทใหม่ที่ควบรวม BMCL กับ BECL และ CKP มีความแข็งแกร่ง มีศักยภาพที่สูงขึ้น สามารถลงทุนดำเนินงานและพัฒนาโครงการต่างๆ รองรับการเติบโตของตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกจิของภาครัฐในระบบขนส่งมวลชนทั้งทางรางและถนน รวมถึงธุรกิจพลังงาน ซึ่งปัจจุบัน ช.การช่างร่วมกับบริษัทในกลุ่มทั้งหมด รวมถึง TTW ได้จัดเตรียมความพร้อมทุกด้านไว้ครบถ้วน ทั้งทรัพยากรบุคคล การเงิน พันธมิตรต่างๆ พร้อมที่จะลงทุนดำเนินโครงการต่างๆในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพม่าและลาวซึ่งเป็น 2 ประเทศเป้าหมายสำคัญที่มีการเจริญเติบโตของธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นอย่างมาก

นายปลิว กล่าวด้วยว่า กำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานปี 57 อยู่ที่ราว 10% ขณะที่คาดรายได้ในปีก่อนเกินกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปี 57 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) 1.05 แสนล้านบาท

กลุ่ม ช.การช่าง

 

ปรับโครงสร้างกลุ่ม..แล้วมีอะไรใหม่ ?

CK, BECL, BMCL และ CKP ประกาศแผนปรับโครงสร้างบริษัทเมื่อคืนนี้ โดน BECL และ BMCL จะทำการควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ในขณะ CK จะหนุนการควบรวมในครั้งนี้โดยเข้าซื้อ BMCL จาก BECL และซื้อหุ้น BMCL และ/หรือ หุ้น BECL จากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านการควบรวมในครั้งนี้ นอกจากนี้ CK จะขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทไซยะบุรีให้แก่ CKP เพื่อเตรียมทุนสำหรับการเข้าซื้อ BMCL และ BECL รายละเอียดมีดังนี้

BECL และ BMCL จะทำการแลกเปลี่ยนหุ้นระหว่างกันในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมใน BECL ต่อ 8.65537841 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมของ BMCL ต่อ 0.42050530 หุ้นในบริษัทใหม่ ซึ่งหมายถึง 20.58 หุ้น BMCL ต่อ 1 หุ้น BECL

CK จะทำการขายหุ้นทั้งหมด (จำนวน 805 ล้านหุ้น) ในบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ ให้แก่ CKP ในราคา 4,344 ล้านบาท และจะหนุนการควบรวมกิจการโดย: 1) ซื้อหุ้น BMCL จำนวน 2,050 ล้านหุ้นจาก BECL ในราคา 1.79 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 3,670 ล้านบาท และ 2) ซื้อหุ้น BMCL และ/หรือ หุ้น BECL จากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านการควบรวมกิจการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม CK จะไม่ซื้อหุ้น BMCL เกิน 8% ของหุ้น BMCL ทั้งหมด และจะไม่ซื้อหุ้น BECL เกิน 10% ของหุ้น BECL ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้าน มูลค่าการซื้อหุ้นรวมจะต้องไม่เกินกว่า 10,000 ล้านบาท

CKP จะทำการเพิ่มทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในสัดส่วน 2.94 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ในราคา 3 บาท (หลังแตกพาร์จาก 5 บาทเป็น 1 บาท) นอกจากนี้ บริษัทจะทำการออกวอร์แรนต์ในอัตราส่วน 1 หุ้นใหม่ต่อ 1 วอร์แรนต์ ด้วยราคาใช้สิทธิ 6 บาท

ความคิดเห็นของเรา

CK ดูจะได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการมากที่สุด เนื่องจากบริษัทจะสามารถขายบริษัทไซยะบุรี (ซึ่งจะรายงานขาดทุนจนถึงปี 2562) ได้ในราคาที่ค่อนข้างดี ในขณะที่เงินสดจากการขายจะถูกนำมาใช้เพื่อซื้อหุ้น BECL (ซึ่งทำกำไรและมีเงินสดจำนวนมาก) และ BMCL (ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงและกำลังพลิกฟื้น) กำไรหลังหักภาษีสุทธิจากการขายบริษัทไซยะบุรีจะอยู่ที่ราวๆ 1.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 0.95 บาทต่อหุ้น เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 32.75 บาท และเปลี่ยนคำแนะนำเป็น ซื้อ !

สำหรับ BECL และ BMCL นั้น การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะให้ประโยชน์แก่ทั้งสองบริษัท โดย BECL มีงบดุลที่แข็งแกร่งแต่มีโอกาสในการลงทุนที่จำกัด ในขณะที่ BMCL มีความจำเป็นที่จะต้องขยายขีดความสามารถทางการเงินสำหรับการลงทุนในอนาคต นอกจากนี้การควบรวมยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพของบริษัทร่วมให้เติบโตได้ในระยะยาวอีกด้วย สัดส่วนการแลกเปลี่ยนหุ้นและราคาปิดวานนี้ชื้ถึงราคา BECL ที่ 49 บาท และราคา BMCL ที่ 2.06 บาท นอกจากนี้เราประเมินว่า BECL จะมีกำไรพิเศษราว 1.2 พันล้านบาทจากการขายหุ้น BMCL เราแนะนำ ซื้อ BECL !

การที่ CKP เข้าซื้อบริษัทไซยะบุรีจาก CK ไม่ใด้เป็นประเด็นใหม่ แต่เราค่อนข้างประหลาดใจที่การเข้าซื้อเร็วกว่าคาดไว้มาก เนื่องจากโครงการดังกล่าวจะยังไม่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์จนกว่าปี 2562 การเสนอขายหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมน่าจะได้เงินราว 5,610 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการเข้าซื้อบริษัทไซยะบุรีที่ราคา 4,344 ล้านบาท นอกจากนี้ CKP มีเงินสดอีกจำนวน 1,800 ล้านบาท และสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 1.95 เท่า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นที่มีต่อสถานะในการเข้าซื้อมากขึ้น การแตก parจะสะท้อนราคาหุ้นใหม่อยู่ที่ 3.90 บาท ส่งผลให้การเสนอขายหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในราคา 3.00 บาทเป็นไปใด้มาก อย่างไรก็ดีผลกระทบจาก dilution จะอยู่ประมาน 30% เราปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ เนื่องจากเราเชื่อว่าโครงการของ CKP ทั้งหมดในปัจจุบันได้สะท้อนมูลค่าหุ้นในขณะนี้แล้ว นอกจากนี้ยังต้องใช้ระยะเวลาอีกนานกว่าที่จะสามารถรวมส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทไซยะบุรีลงในประมาณการของเรา