นักวิเคราะห์จับตาหุ้นพลังงานส่งผลต่อดัชนีหุ้นไทย

 

นักวิเคราะห์จับตาความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบกระทบหุ้นน้ำมัน ส่งผลโดยตรงต่อทิศทางดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะทะลุผ่าน 1,600 จุดได้หรือไม่ แนะเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ในระยะกลาง

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ธนชาติ จับตาราคาน้ำมันดิบล่าสุดฟื้นตัวขึ้นแรง Brent Oil ขึ้นมาอยู่ที่ 53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลต่อราคาหุ้นน้ำมันโดยเฉพาะ PTT, PTTEP ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับมาในสัปดาห์นี้ และเป็นปัจจัยที่จะผลักดันดัชนี SET เคลื่อนไหวชัดเจนขึ้น โดยคาดกรอบดัชนีทั้งสัปดาห์จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,570-1,600 จุด

“ดัชนี SET น่าจะยังคงเป็นการเคลื่อนไหวแบบแกว่งตัวต่อไปเช่นเดิม รอจังหวะที่จะกลับขึ้นมาทดสอบ 1,600 จุดอีกครั้งในสัปดาห์นี้เป็นสัญญาณซื้อตาม โดยที่สัญญาณบวกจากเครื่องมือชี้ทิศทางยังคงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขึ้นต่อไป และดัชนี SET จะมีโอกาสทะลุ 1,600 จุด เปลี่ยนกรอบขึ้นสู่ 1,650 จุด โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,550 จุด” นักวิเคราะห์ กล่าว

พร้อมแนะนำนักลงทุนถือหุ้นในระดับ 75% ของพอร์ตต่อไป คงระดับ 1,550 จุดเป็นแนวรับสำคัญและเป็นจุดตัดขายระยะสั้นเพื่อปรับพอร์ ขณะเดียวกัน มีสัญญาณเทคนิคสามารถ “ซื้อ” เก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน : ENERG INDEX มีสัญญาณฟื้นตัวจากกราฟระดับสัปดาห์อย่างชัดเจน แท่งเทียนทำรูปแบบ White Marobozu และพักตัวสร้างฐานด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลง คาดหวังการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีมีโอกาสขึ้นทดสอบ 20,000 จุดในระยะสั้น ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขึ้น จึงแนะนำเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ในระยะกลาง

สอดคล้องต่อบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส โดยทีมนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ ASP ได้ทำ Preview Earnings หุ้น PTTEP พบว่า PTTEP จะต้องรับรู้ผลขาดทุนการด้อยค่าของเงินลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งทำให้ PTT จะต้องรับรู้ผลขาดทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 65% หรือจะกระทบต่อ Fair Value PTT ราว 18 บาทต่อหุ้น ซึ่งโดยรวมจะทำให้ PTT ภายหลังรวมทั้งปัจจุบันบวกและลบแล้วจะอยู่ที่ 396 บาท มี upside 14%

Ant eye view : ภาพรวมของตลาดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดัชนีแกว่งพักตัวในกรอบเหงาๆ 1,580-1,600 จุด เพื่อรอวันจุดพลุ ซึ่งการพักตัวในปัจจุบันมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความอดทนในการ รอ ดัชนีอาจจะซึมๆ ไปเรื่อยๆ เชื่อว่าจะไม่มีการปรับลดลงรุนแรง และตามสูตรแล้วจะต้องมีวัน Volume เข้า ซึ่งวันนี้จะเป็นวันเริ่มต้นการยิงยาวของดัชนี

“มองฐานแนวรับสำคัญไว้ที่ 1,575 จุด (แย่สุดก็ไม่ควรต่ำกว่า 1,569 จุด) เชื่อว่าแนวดังกล่าวจะเป็นตัวรองรับการพักตัวของดัชนีในรอบนี้ เพื่อรอวัน Volume เข้าดัน SET ขึ้น Break ออกจาก 1,610 จุด กันอีกครั้ง” นักวิเคราะห์ กล่าว

พร้อมแนะนำการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ถือว่าดีต่อ PTT และ PTTEP โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังชื่นชอบหุ้นรายตัวเด่น SYNTEC (FV@B 3.85), GUNKUL (FV@B 36) นอกจากนั้น ให้เลือกกลยุทธ์ตาม Theme อื่นๆ ดังนี้ หุ้น Big Cap ที่มีโอกาสเกิดการ Rotation ของ Fund Flow เลือกอสังหาฯ PS SPALI หุ้น P/E ต่ำเฉลี่ยกลุ่ม ผลประกอบการเด่น : SYNTEC, CHG หุ้นได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง : AAV, BA, SCC และหุ้นปันผลเด่น : ADVANC, INTUCH, AIT, SPALI

ตลาดพบหุ้นซื้อขายผิดปกติ

“เกศรา” ยอมรับพบหุ้นซื้อขายผิดปกติตั้งแต่สิ้นปี 57 เตรียมส่ง ก.ล.ต.ดำเนินการ ด้านหุ้นอสังหาเล็กปรับขึ้นร้อนแรง

 

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าการตรวจสอบหุ้นที่มีการซื้อขายผิดปกติตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2557 ถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการใช้มาตรการคุมหุ้น แต่ก็พบว่ามีหุ้นบางบริษัทที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ซึ่งตลาดจะดำเนินการตรวจสอบและนำหลักฐาน ส่งให้สำนักงานก.ล.ต.ตรวจสอบต่อไป

ส่วนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กที่มีการซื้อขายร้อนแรง เกิดขึ้นเฉพาะบางบริษัทมีปัจจัยเฉพาะตัวเข้าเกี่ยวข้องให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรง แต่ไม่ได้เกิดพฤติกรรมแบบนี้ทั้งกลุ่ม ส่วนหุ้นใดที่มีการซื้อขายจนกระทั่งเข้าเกณฑ์ที่เทรดดิ้งอะเลิร์ท ตลาดหลักทรัพย์จะก็ดำเนินการตามขั้นตอน

“การที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้มองว่า เป็นการท้าทายมาตรการควบคุมหุ้นร้อนที่ใช้อยู่ การทำงานในเรื่องนี้จะใช้อารมณ์ไม่ได้ ถ้าหุ้นเข้ามาตามหลักเกณฑ์ก็จะให้บริษัทชี้แจงสาเหตุความผิดปกติ ซึ่งในบางหลักทรัพย์เข้าสู่มาตรการควบคุมหุ้นที่ร้อนแรงในระดับที่ 2 ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 3 สัปดาห์ ถึงจะเลื่อนระดับการควบคุม แต่หากมีการให้บริษัทชี้แจงข้อมูลซ้ำก็จะขึ้นระดับที่ 2 ได้ทันที” นางเกศรากล่าว

นายสุเมธ เลอสุมิตรกุล นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เปิดเผยว่า สมาคมมีความเป็นห่วงในหุ้นที่เคลื่อนไหวร้อนแรงผิดปกติ โดยในช่วงที่ผ่านมาในการประชุมของสมาคม ได้เคยเตือนกับบริษัทจดทะเบียนให้ระมัดระวังการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ทั้งนี้แม้หลายหลักทรัพย์มีระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ในระดับที่สูง

“ระดับพี/อีในตลาดหุ้นเอ็มเอไอ ปัจจุบันผมมองว่าโอเวอร์เกินไป ซึ่งนักลงทุนต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ แต่ส่วนหนึ่งต้องเข้าใจว่า บริษัทจดทะเบียนในเอ็มเอไอมีศักยภาพการเติบโตที่สูง ซึ่งสุดท้ายการเติบโตเหล่านั้นจะเข้าไปสะท้อนที่ราคาหุ้น ซึ่งในอีกมุมหนึ่งของบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี แม้ระดับพี/อีสูง แต่ก็ยังสามารถลงทุนได้”

ในส่วนหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวร้อนแรงผิดปกตินั้น ยอมรับว่าทางสมาคม เป็นห่วง เพราะในระยะหลังมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีหลายครั้งที่มีการประชุมร่วมกับสมาคมและหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุย ซึ่งทุกครั้งสมาชิกให้การตอบรับที่ดี หลังจากการประชุมไปแล้ว ราคาหุ้นก็จะหยุดหวือหวาไประยะหนึ่ง แต่ก็มีบริษัทส่วนหนึ่งที่แตกแถวไม่รับฟังคำเตือนราคาหุ้นหวือหวามากกว่าปกติ ดังนั้นนักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น

สำหรับมาตรการควบคุมหุ้นร้อนแรงที่เริ่มใช้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มองว่าจะไม่กระทบกับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะในระยะหลังผู้บริหารบริษัทเอกชนหลายรายมีความเข้าใจในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนมากขึ้น ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนมากขึ้นในการต่อสู้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามาแข่งขันได้

ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางกระแสข่าวลือการ แตกพาร์ จาก 1 บาทต่อหุ้น เป็น 10 สตางค์ต่อหุ้น และเพิ่มทุนจำนวน 2 หมื่นล้านหุ้นเสนอขายกับนักลงทุนแบบเจาะจง ทำให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น โดย บริษัท บ้านร็อคการ์เด้น จำกัด (มหาชน) BROCK ปิดที่ บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น % ล่าสุดบริษัทได้แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทไม่ได้เพิ่มทุนและยังไม่มีการประชุมคณะกรรมการบริษัทแต่อย่างไร

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า หุ้นอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างหวือหวา โดยบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ thana ปิดที่ 3.56 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 4.71% บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN ปิดที่ 2.16 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 17.39% บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน)หรือ EVER ปิดที่ 3.54 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 5.99% บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH ปิดที่ 2.48 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 1.68%

ขณะที่มีกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ในระดับ ซิลลิ่ง 7 วันติดต่อกัน อย่าง บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) KC หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับระดับความเข้มข้น นำมาตรการหุ้นที่มีความร้อนแรงในระดับ 2 คือห้ามนำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และให้ซื้อขายด้วยเงินสดเป็นเวลา 3 สัปดาห์ โดยราคาอยู่ที่ 11.10 บาทต่อหุ้น ปรับลดลง 1.77%

นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน)หรือ PRIN กล่าวกับสื่อออนไลน์ว่า ราคาหุ้นของบริษัทฯที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงนี้น่าจะมาจากการเก็งกำไรกระแสการเข้าซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็ก ซึ่งบริษัทถือว่าเข้าข่าย เนื่องจากราคาต่อมูลค่าทางบัญชี(P/BV) อยู่ที่ 0.58 เท่า ต่ำสุดในกลุ่มอสังหาฯ แต่ขอยืนยันว่าไม่มีการติดต่อเข้ามาขอซื้อกิจการและไม่ได้อยู่ระหว่างการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น

“ในแง่พื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งราคาหุ้นที่ขึ้นมาอาจจะเป็นไปตามการเข้าเก็งกำไรจากกระแสหุ้นอสังหาฯ ตัวเล็กที่เข้าข่ายถูกเทคโอเวอร์ก็เป็นได้ เพราะมีหลายบริษัทราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ แต่ยืนยันว่าไม่มีเข้ามาคุยกับเราและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้แม้ P/BV ของเราจะต่ำสุดในกลุ่มเพียง 0.58 เท่า แต่ถามว่าเปิดโอกาสไหม หากจะมีใครเข้ามาคุย ก็ไม่สามารถตอบได้นะ รอให้มีก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกที”นายชัยรัตน์ กล่าว

ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทปีนี้ ตั้งเป้ารายได้แตะ 3,000 ล้านบาท เติบโต 25% จากปี 2557 คาดว่าจะทำได้ราว 2,400-2,500 ล้านบาท โดยยอดขายในปีนี้จะเป็นไปตามรายได้ ซึ่งบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 1,000 ล้านบาท คอนโดฯ 1,300 ล้านบาท ที่เหลือเป็นทาวน์เฮาส์ ด้านยอดขายรอโอน (แบ็คล็อก)ปัจจุบันมีอยู่ราว 500 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด ส่วนงบ ลงทุนในปี 2558 ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท จะใช้ในการซื้อที่ดินรองรับการเปิดโครงการใหม่

 

@กรุงเทพธุรกิจ

อีกด้านของเหรียญ

ในช่วงที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนๆนักลงทุนหลายท่านเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ประเด็นหลักในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นความกังวลที่ว่าตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับตัวลดลงรุนแรง ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ หนึ่ง ดอกเบี้ยอาจกลับมาเป็นขาขึ้น สอง ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งอาจทำให้การบริโภคชะลอตัวลง และ สาม ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยเทรดที่ PE 18 เท่านับว่าสูงกว่า ค่าเฉลี่ยในอดีต เนื่องจากเหตุผลที่สนับสนุนข้อกังวลดังกล่าวเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ในบทความนี้ผมขอนำเสนอการมองต่างมุมของนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งต่อประเด็นทั้งสาม เพื่อให้ท่าน ผู้อ่านได้เห็นข้อมูลทั้งสองด้านก่อนที่จะตัดสินใจในการลงทุน

ดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาขึ้น: ข้อมูลจาก McKinsey ได้ประเมินว่าขนาดของตลาด Global Bond ใหญ่กว่า Global Equity ประมาณหนึ่งเท่า และจากการที่ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของอเมริกา เป็นขาลงมาตลอด 33 ปีนับตั้งแต่ปี 1981 ที่ดอกเบี้ย 15% มาอยู่ที่ 2.2% ในปัจจุบันถ้าดอกเบี้ย กลับมาเป็นขาขึ้นจริง ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดพันธบัตรจะมีมากกว่าตลาดหุ้น เงินที่จะไหลออก จากตลาดพันธบัตรจำนวนมากเพื่อหนีจากการขาดทุนในดอกเบี้ยขาขึ้น และน่าจะไหลเข้ามาสู่ ตลาดหุ้นบ้าง ทำให้หุ้นน่าจะยังคงไปต่อได้ ทั้งนี้เราจะเห็นได้จากการเปลี่ยน แปลงนโยบายของ PIMCO กองทุนตราสารหนี้ขนาดมหึมาของสหรัฐซึ่งให้ความสนใจในหุ้นมากขึ้นในระยะ สามสี่ปีที่ผ่านมา และ กองทุนบำเน็จบำนาญของญี่ปุ่นประกาศเพิ่มสัดส่วนลงทุน ในหุ้นเมื่อเร็วๆนี้

การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ: ปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุราว 10% และจะเพิ่มเป็น 20% ในปี 2030 อาจมีผลลบต่อตลาดหุ้น อาจไม่เป็นจริงเสมอไปหากเรามองดูประเทศที่มีสัดส่วน ผู้สูงอายุมากกว่าประเทศไทยเช่น เยอรมันนี ซึ่งปัจจุบันมีผู้สูงอายุเป็นสัดส่วน 21% แต่ดัชนี DAX ของเยอรมันก็ยังสามารถทำ All Time High ที่ 9,850จุดได้ในปีนี้ ซึ่งหากเราดูข้อมูลย้อนหลัง เราจะพบว่า DAX ได้เริ่มการเป็นขาขึ้นยาวนานตั้งแต่ปี 2003 ที่ดัชนีประมาณ 2,500 จุด​ซึ่งในปีนั้นเยอรมันนีมีประชากรสูงอายุ 18%ของประชากรรวม

ตลาดหุ้นไทยที่ PE 18 เท่า: หากเราย้อนกลับไปดูค่า PE ย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยในรอบเกือบ 40 ปีตั้งแต่ก่อตั้ง เราจะพบว่า PE หุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 5-30 เท่า ค่า PE โดยเฉลี่ย น่าจะอยู่ในช่วง 10-12 เท่า ถึงแม้ 18 เท่าดูเหมือนจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่หากเราดูค่า PE ตลาดใน 12 เดือนข้างหน้า ตามบทวิเคราะห์ของธนาคารต่างประเทศแห่งหนึ่ง คาดว่า PE ของตลาดหุ้นไทย จะลดลงเหลือ 15-16 เท่าเนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะโตได้อีก สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ณ PE ขนาดนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ดูไม่แพงกว่าเพื่อนบ้าน ASEAN เราเท่าไหร่ นอกจากนี้ที่ PE 18 เท่า ในปัจจุบัน ตลาดไทย (SET ไม่รวม MAI) ให้ปันผลโดยเฉลี่ยที่ 2.77% ซึ่งยังสูงกว่าดอกเบี้ย ฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารที่อยู่ที่ 1.5% สถานการณ์ในตอนนี้ต่างกับในช่วงปี พ.ศ. 2537-2538 ซึ่งดัชนีมีค่า PE อยู่ในช่วง 16-26 เท่า ให้ปันผลอยู่ในช่วง 1.86-2.25% แต่ในขณะนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 8.5% สูงกว่าเงินปันผลเกือบสามเท่า

โดยส่วนตัว ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรต่อไป จะออกหัว หรือ ออกก้อย ในฐานะนักลงทุนคนหนึ่ง หน้าที่หลักของผม คือ หนึ่ง เฝ้นหากิจการที่ยอดเยี่ยม สอง ทำความเข้าใจพลวัตรการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม และ สาม ดูว่าอุตสาหกรรมไหนจะได้ ประโยชน์สูงสุด จากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป นานมาแล้ว คุณ “ต๊อบ” เจ้าของ “เถ้าแก่น้อย” เคยกล่าวไว้ว่า “ในงานศพ ก็ยังมีสัปเหร่อ มีคนขายโจ๊ก มีคนขายพวงหรีด…ในวิกฤตก็มีโอกาส อยู่เสมอ มันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะเป็นศพ หรือเป็นคนขายพวงหรีด” ผมยังจำได้ว่าหลังวิกฤต ต้มยำกุ้ง หุ้นไทยลงถล่มถลาย แต่หุ้นส่งออกกลับทำกำไรได้มากมาย ดังนั้นผมเชื่อว่า ไม่ว่าสภาวะไหน หมั่นสร้างความรู้ในการลงทุนไว้เถอะครับ เพราะความรู้จะเป็นเหมือนดาว ส่องแสงนำทาง ที่ช่วยให้คุณสามารถเดินทางอยู่บนถนนสายทุนนิยมสายนี้ได้ในทุกสถานะการณ์

โดยคนขายของ

‘กวี ‘คาดดัชนีตลาดหุ้นจะทำนิวไฮภายใน2ปี

“กวี” คาด ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะทำนิวไฮภายใน 2 ปี จากสถิติเดิมที่ 1,789 จุด คาดครึ่งปีหลังดัชนีแตะ 1700 จุด 

กวี-setlnw

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย มีโอกาสทำสติถิสูงสุดใหม่ หรือ New High ภายใน 2 ปี จาก High เดิมที่ 1,789 จุด หากไม่เกิดความเสี่ยงจากสงคราม

“ปีนี้ดัชนีก็คงมีการสวิงขึ้นลงได้เห็นอย่างน้อย 100 จุดในแต่ละรอบอย่างแน่นอน ก็ใช้ช่วงที่ดัชนีขึ้นลงนี้แหละให้ทยอยขายและทยอยซื้อ แต่อีกอย่างหนึ่งที่ผมมองไว้ก็คือภายใน 2 ปีนี้ เราอาจจะได้เห็นดัชนี SET ทำ New High อีกจาก High เดิมที่ 1,789 จุด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่ แต่ยกเว้นความเสี่ยงที่เกิดจากสงครามนะ”นายกวี กล่าว

ส่วนทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะสามารถปรับตัวได้ถึง 1,600-1,650 จุด และในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ1,650-1,700 จุด ในระดับ P/E ที่ 15 เท่าจากแรงหนุนของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อีกทั้งในปีนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงของกรอบและการปรับตัวแบบขาขึ้น แต่จะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในระดับที่น้อยกว่าปีก่อน หลังจากดัชนีฯปรับขึ้นมาอยู่ในระดับค่อนข้างแพงแล้ว

ทั้งนี้มองกรอบราคาน้ำมันในปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

“มองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานในปีนี้คาดว่าจะติดลบ 3% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และมีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยลดลงเหลือ 20% จากเดิม 30% โดยมีหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มมีสัดส่วนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับสัดส่วนหุ้นไนกลุ่มพลังงาน โดยกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไนปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้น 10% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อเติบโตขึ้นและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม” นายกวี กล่าว

ส่วนแผนการลงทุนของภาครัฐในปีนี้จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดว่าในปีนี้จะสร้างมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่จะมีการรับรู้รายได้ในอนาคตได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เช่น CK และ STEC

ขณะที่กลุ่มสื่อสาร คาดว่า จะยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในช่วงปลายปีนี้หากมีการประมูล 4G เกิดขึ้น จะหนุนให้หุ้นกลุ่มสื่อสารปรับตัวขึ้นและช่วยผลักดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นได้

ด้านกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ แนะนำให้ทยอยขายหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในระดับ 1,600-1,650 จุด และหากดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับ 1,500 จุด ให้นักลงทุนทยอยเข้าซื้อ

หุ้นเช้าเปิดบวก 5.59 จุด โบรกฯ ชี้ราคาน้ำมันโลกฟื้น

หุ้นเช้าเปิดบวก 5.59 จุด โบรกฯ ชี้ราคาน้ำมันโลกฟื้น คาดดัชนีสลับบวก-ลบ แนะลงซื้อ-ขึ้นขาย

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย พบว่า ทันทีที่เปิดการซื้อขายดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.59 จุด

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.04 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,526.37 จุด เพิ่มขึ้น 3.13 จุด (0.21%) มูลค่าการซื้อขาย 2,648.73 ล้านบาท

thai-stock-vi

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส

ระบุว่าSET ยังอยู่ในช่วงแกว่งตัวขึ้น-ลงผันผวนต่อเนื่อง โดยเช้านี้แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากภาวะตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปที่ปิดเป็นลบค่อนข้างมาก หลังนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลประกอบการของเจพี มอร์แกนที่ออกมาต่ำกว่าคาด รวมทั้งธนาคารโลกยังปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลง เนื่องจากความเสี่ยงที่ตลาดการเงินทั่วโลกจะผันผวน และยูโรโซนอาจจะเผชิญภาวะเงินฝืด

นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนนี้ยังออกมาอ่อนแอด้วย แต่ตลาดหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่ยังสามารถเปิดแกว่งตัวด้านบวก หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกฟื้นตัวขึ้นมาแรงพอควรจากแรงซื้อเก็งกำไรที่มีเข้ามาช่วยหนุน ซึ่งน่าจะทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานบ้านเราช่วยผลักดันให้ SET ยังมีจังหวะแกว่งบวกสลับเป็นระยะๆ ได้ ดังนั้นช่วงนี้ยังเน้นเป็นเทรดดิ้งตามรอบในลักษณะลงซื้อ-ขึ้นขายไว้ก่อน นอกจากส่วนลงทุนถึงจะยังถือต่อเนื่อง แนวรับ 1522-1520 , 1515-1510 จุด และแนวต้าน 1528-1532 , 1535-1540 จุด