เทสโก้-บิ๊กซีเปลี่ยนเกมลุยค้าปลีก เติมแบรนด์ดัง

เทสโก้-บิ๊กซีเปลี่ยนเกมลุยค้าปลีก เติมแบรนด์ดัง-เพิ่มพท.ช็อปปิ้งเขย่าศูนย์การค้า

สองยักษ์ค้าปลีก “เทสโก้ โลตัส-บิ๊กซี” พลิกเกม ช่วงชิงกำลังซื้อ เดินหน้ายกเครื่องสาขา ลดพื้นที่ “น็อนฟู้ด” เติมแบรนด์ดัง-โรงหนัง เขย่าศูนย์การค้า แจงชัดปรับเพราะพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน จับตาแนวรบใหม่ ควงยักษ์เมเจอร์ฯ ปูพรมขยายสาขาสู่ระดับ “อำเภอ” ด้านโรบินสันไม่หวั่น ชี้คนละกลุ่มเป้าหมาย

tesco-setlnw-bigc
นอกจากการแข่งขันกันเป็นผู้นำด้าน “ราคา” ส่งโปรโมชั่นเกทับชนิดไม่มีใครยอมใครความเคลื่อนไหวอีกมิติหนึ่งของเทสโก้โลตัสและบิ๊กซีในขณะนี้คือ การปรับรูปแบบธุรกิจมุ่งสู่ “ช็อปปิ้งมอลล์” พลิกบทบาทไปสู่การเป็น “ดีเวลอปเปอร์” พัฒนาพื้นที่ให้ร้านค้าเช่าและยกระดับสาขาเทียบเท่าศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าด้วยการดึงสินค้าและบริการแบรนด์ชั้นนำไปเปิดเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์และดีมานด์ใหม่ ๆ ในทางกลับกันทั้งคู่ได้ลดพื้นที่สินค้ากลุ่ม “น็อนฟู้ด”ซึ่งเดิมเคยเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้บริการ

ทั้งนี้การแปลงโฉมครั้งใหม่ของ “เทสโก้-บิ๊กซี” เกิดควบคู่ไปกับการทดลองโมเดลใหม่ ๆ สู่ระดับอำเภอที่มีศักยภาพ โดยมีโรงหนังทันสมัยร่วมเป็นแม่เหล็กสำคัญ แน่นอนว่าทิศทางการปรับตัวในลักษณะดังกล่าวของยักษ์ไฮเปอร์มาร์เก็ตย่อมส่ง ผลกระเทือนต่อกลุ่มเซ็นทรัล ที่มี “โรบินสันไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์” ปักธงยึดตลาดทั่วประเทศอยู่ก่อนแล้ว

เติมแม็กเนตนำร่อง ตจว.

แหล่งข่าวระดับสูงในแวดวงค้าปลีก ฉายภาพความเคลื่อนไหวว่า การแข่งขันของค้าปลีกดุเดือดต่อเนื่องทุกเซ็กเมนต์ ทั้งศูนย์การค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนี่ยนสโตร์ ฯลฯ ไม่เพียงการช่วงชิงทำเลพื้นที่ขยายสาขา แต่ยังรวมถึงการดึงลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายได้มากที่สุด ล่าสุด “ไฮเปอร์มาร์เก็ต” ทั้ง 2 ค่ายยักษ์ได้ปรับรูปแบบแต่ละสาขาใหม่ ด้วยการเพิ่มพื้นที่เช่าร้านค้าต่าง ๆ และลดพื้นที่ในส่วนสโตร์สินค้ากลุ่ม “น็อนฟู้ด”

“ทั้งเทสโก้และบิ๊กซีเริ่มขยายพื้นที่เช่ามากขึ้นด้วยการทยอยรีโนเวตสาขา ลดสัดส่วนสินค้ากลุ่ม “น็อนฟู้ด” และเพิ่มพื้นที่เช่าให้กับร้านแบรนด์สินค้าใหม่ ๆ แม็กเนตจุดขายใหม่ ๆ รวมถึงโรงหนัง ร้านอาหาร แฟชั่นเสื้อผ้า”

ผู้บริหารรายนี้ชี้ให้เห็นด้วยว่า เทสโก้ โลตัส จะมีความเคลื่อนไหวปรับพื้นที่อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันยักษ์ใหญ่รายนี้อยู่ระหว่างศึกษาโมเดลมอลล์ขนาดเล็กที่จะเข้าไป เจาะตามชุมชน อำเภอ โดยมีโรงหนังร่วมด้วย ซึ่งเป็นโอกาสและขยายตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการดำเนินงานของบิ๊กซีที่ผ่านมาระบุชัดเจนว่า การเติบโตรายได้มาจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ โดยได้เพิ่มพื้นที่ให้เช่าในสาขาที่เปิดใหม่ควบคู่กับปรับขยายพื้นที่เช่า สาขาเดิมให้เพิ่มขึ้น พร้อมเพิ่มแบรนด์ร้านอาหาร แฟชั่น และสินค้าประเภทใหม่ ๆ เช่น ไอ-สตูดิโอ ฯลฯ

ตลาดเปลี่ยน-ลูกค้าเปลี่ยน

นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัทเทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มีนโยบายบริหารพื้นที่เช่าและขยายพื้นที่ให้กับร้านค้ามากขึ้น ทั้งในรูปแบบช็อปปิ้งมอลล์ ที่ได้พัฒนา “พลัสมอลล์” ไปแล้วรวม 3 สาขา ได้แก่ บางใหญ่, ศรีนครินทร์ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ส่วนเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส ได้ดึงผู้เช่าร้านกาแฟอเมซอนเข้ามาเสริมกลุ่มธุรกิจสะดวกซื้อ

แนวทางดังกล่าวไม่ใช่แค่ยกระดับภาพลักษณ์แต่เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านใหม่ๆรองรับความต้องการของลูกค้าและเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มีความเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ต้องการสินค้าทันสมัย ทำให้จุดขายเรื่องราคาถูกอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องตอบโจทย์ที่มากกว่าในแง่ของประสบการณ์ช็อปปิ้ง ซึ่งลูกค้าใช้เวลาซื้อของในช่วงวันหยุด พร้อมกับทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว อาทิ รับประทานอาหาร บริการ และกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ

“เราพยายามจัดพื้นที่ขายเยอะขึ้นและลดพื้นที่เก็บสต๊อกหลังร้านให้น้อยลง โดยที่การเลือกร้านค้าขึ้นอยู่กับทำเลและความต้องการของชุมชนนั้น ๆ ซึ่งดูลูกค้าและคู่แข่งเป็นหลัก ในส่วนของพื้นที่ไฮเปอร์ยังเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค แต่พื้นที่ช็อปปิ้งมอลล์จะพยายามนำแบรนด์ที่ตรงใจลูกค้าเข้ามามากขึ้น”

สอดคล้องกับนายสมพงษ์รุ่งนิรัติศัยประธานกรรมการบริหารฝ่ายอสังหาริมทรัพย์เทสโก้โลตัส ขยายความก่อนหน้านี้ว่า ทิศทางของไฮเปอร์มาร์เก็ตจะมีขนาดเล็กลง เพราะฉะนั้นค้าปลีกต้องปรับตัวรับพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป กลุ่มชนชั้นกลางที่มีรายได้สูงขึ้น ตลาดมีการแข่งขันสูง จึงต้องสร้างความแตกต่างให้เกิดเป็นทางเลือกทิศทางดังกล่าวนำมาสู่การปรับกลยุทธ์ นำพื้นที่มาพัฒนาเป็นช็อปปิ้งมอลล์ รวมถึงบาลานซ์ความเหมาะสมระหว่างร้านอาหาร แฟชั่น โรงหนัง

“ทำอย่างไรจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ขณะเดียวกันก็สามารถแข่งขันได้ในพื้นที่ โดยเพิ่มสิ่งที่มากกว่าความเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต ที่เดิมลูกค้าเดินเข้ามาเพื่อซื้อสินค้าและก็กลับบ้าน จากนี้ไม่ใช่แค่เอาเชลฟ์มาตั้งขายของ แต่ต้องให้ความสำคัญกับบรรยากาศมากขึ้น”

โรงหนัง “เมเจอร์” ลุย 10 อำเภอ

ทิศทางโมเดลช็อปปิ้งมอลล์ขนาดเล็กตามชุมชนระดับอำเภอดังกล่าวสอดคล้องภาพการลงทุนของกลุ่มโรงหนังเมเจอร์ที่มีแผนผนึกพันธมิตรขยายสาขาทั่วประเทศไม่เพียงการเดินหน้าขยายสาขาร่วมกับศูนย์การค้าของเซ็นทรัลกรุ๊ปและเดอะมอลล์กรุ๊ปแต่ยังเตรียมขยายโรงหนังเข้าไปเจาะตามอำเภอต่าง ๆ ด้วย

ด้วยเป้าหมายในปี 2563 ซึ่งเมเจอร์ฯระบุว่าจะมีโรงหนังทั่วประเทศ 1,000 โรง และขยายไปเจาะตามอำเภอมากขึ้น

ปีนี้จะเริ่มทดลองใน 10 อำเภอร่วมกับพันธมิตรค้าปลีก โดยอำเภอที่จะทดลองเปิดสาขาต้องมีประชากรเฉลี่ย 50,000-70,000 คน ที่ผ่านมาเมเจอร์ฯได้ลงไปศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละอำเภอมาบ้างแล้ว

โรบินสันย้ำ “ไลฟ์สไตล์แฟชั่น”

นางสาวจิราพรรณ ทองต้น ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าโรบินสันกล่าวว่า ได้ติดตามความเคลื่อนไหวการเพิ่มแม็กเนตของ

กลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต ด้วยการเพิ่มพื้นที่เช่า ดึงร้านแฟชั่น ร้านอาหารเข้ามาเปิดบริการ มาตั้งแต่ปลายปี 2556 แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่คู่แข่งกับโรบินสัน โดยเฉพาะ “โรบินสันไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์” ที่มีพื้นที่เช่า 15,000-16,000 ตารางเมตร เนื่องจากบริษัทเน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่น สินค้าหลักจึงเป็นแฟชั่น ขณะที่เป้าหมายของไฮเปอร์มาร์เก็ตคือลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร เป็นหลัก

นางสาวจิราพรรณระบุด้วยว่า โพซิชันนิ่งที่ชัดเจนของโรบินสันคือ “ไลฟ์สไตล์แฟชั่น” จะเป็นตัวดึงลูกค้าและสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทิศทางขยายสาขายังเน้นการเปิดสาขาตามหัวเมืองรองในลักษณะไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ เนื่องจากมีขนาดตลาดไม่ใหญ่ และคู่แข่งขันไม่มาก

นักลงทุนกังวลราคาน้ำมัน หุ้นสหรัฐฯร่วงเล็กน้อย

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯลดลงเล็กน้อยในวันอังคาร จากความกังวลเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ลดต่ำลง แม้ข้อมูลผลประกอบการอย่างไม่เป็นทางการของบริษัท อัลโก ที่เปิดเผยในวันเดียวกันจะออกมาดีก็ตาม…

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 13 ม.ค. ในแดนลบ โดยดัชนีดาวโจนส์ลดลง 27.16 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 17613.68 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 5.23 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 2023.03 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กลดลง 3.21 จุด หรื 0.07% ปิดที่ 4661.50 จุด

setlnw-wordupdate

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯเพิ่มขึ้นในช่วงแรกของการซื้อขาย แต่ในช่วงบ่ายกลับลดลงสู่แดนลบ ในขณะที่นักลงทุนจับตาดูราคาน้ำมันดิบ ทั้ง ‘เวสต์ เทกซัส’ สำหรับเดือนก.พ. ที่ขณะนี้อยู่ที่ 45.89 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 2009 ส่วนราคาน้ำมัน ‘เบรนท์’ ของอังกฤษ ลดลงอีก 84 เซนต์ เหลือ 46.59 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล.

PTT2558 ปฏิรูปราคา ยังจะมีอีกหลายอย่างเกิดขึ้น

การปฏิรูปราคา ยังจะมีอีกหลายอย่างเกิดขึ้น

สำนักนโยบายและแผนพลังงานแห่งประเทศไทย (EPPO) ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงกำหนดสูตรราคา LPG ของประเทศไทย มีผลวันที่ 2 ก.พ.

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ :

โรงงานแยกก๊าซ LPG ราคาขายส่ง LPG หน้าโรงแยกก๊าซ จะเพิ่มขึ้นจาก 333 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เป็น 498 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน โดย PTT เป็นผู้ดำเนินการโรงแยกก๊าซเพียงรายเดียวในประเทศ โดยต้นทุนเนื้อก๊าซ ไตรมาสที่ 3/57 อยู่ที่ 391 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน

โรงกลั่น LPG ราคา LPG หน้าโรงกลั่น จากสูตรเดิมที่ 76% อ้างอิงราคาในตลาดโลก และ 24% อ้างอิงราคาคงที่ 333 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน จะเปลี่ยนเป็นอิงราคาซื้อขายในตลาดโลก (ราคาตามสัญญา) ลบ 20 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสูตรราคา Net back LPG ที่ถูกขายให้กับบริษัทลูก PTT Global Chemical (PTTGC TB, ปิด53.50 บาท, ซื้อ, เป้า : 69.00 บาท) จากยังเป็นไปตามสัญญา Net back เนื่องจากยังไม่มีอะไรที่บ่งชี้ว่าสัญญานี้จะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ประมาณ 31% ของก๊าซ LPG ที่แยกโดย PTT นั้นถูกขายให้กับ PTTGC ภายใต้สัญญานี้

ผลกระทบต่อกำไร

ผลประโยชน์ที่ได้จากโรงแยกก๊าซของ PTT เราประมาณการว่าการเปลี่ยนราคาขายส่งจาก 333 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เป็น 498 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน จะเพิ่มกำไรสุทธิปี 2558 ของ PTT ขึ้น 6.8 พันล้านบาท (สุทธิจากภาษีและปริมาณของ PTTGC) ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวมการลอยตัวราคาไว้ในประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของเรา

กำไรจากการกลั่นที่เพิ่มขึ้นมีน้อย เนื่องจากการลดลงของราคาน้ำมัน ผลประโยชน์ต่อกลุ่มโรงกลั่นมีเพียง 20 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เกือบเท่ากับว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกำไรสุทธิเลย อย่างไรก็ตาม จากประมาณการราคาน้ำมันปี 2558 ของเราที่ 74 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้ได้รับประโยชน์คิดเป็นค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 0.3 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล (ประมาณ 2-7% ต่อ EPS)

รอความกระจ่างทั้งหมดก่อน เรากำลังรอการยืนยันว่ามีการปรับสัญญา Net back ก๊าซของ PTTGC หรือไม่ รวมถึงบทบาทของ PTT ในฐานะผู้นำเข้าและดูว่าราคาขายส่งหน้าโรงแยกก๊าซนั้นจะถูกปล่อยลอยตัวตามตลาดโลกหรือไม่ หรือเป็นเพียงการกำหนดราคาคงที่ใหม่แค่นั้น

Earnings and target price revision : รอรายละเอียดทั้งหมดก่อนการปรับประมาณการของเรา

Price catalyst : ราคาเป้าหมาย 12 เดือน : 409 บาท อิงวิธี Sum of Parts

ปัจจัยสำคัญ : การปรับโครงสร้างสินทรัพย์, ราคา NGV

Action and recommendation : เชิงบวก เราคิดว่าการปรับโครงสร้างสินทรัพย์และแนวโน้มการเพิ่มราคา NGV ในอนาคตหนุนกำไรของ PTT แม้ว่าขณะนี้ NAV ของ PTT มีพรีเมี่ยมประมาณ 5% เราเห็นต่างว่าจากปัจจัยสำคัญในอนาคตและมูลค่าที่สมเหตุสมผล (PER เมื่อเทียบกับคู่แข่ง) จะทำให้ PTT ยังคงทำได้ดีกว่าตลาดต่อไป

สาเหตุที่ทำให้คนเล่นหุ้นแบบ Trend Following ตายยาก!

ด้วยความที่ผมเป็นนักลงทุนสไตล์ Systematic Trend Following มานานพอสมควร หลายต่อหลายครั้งที่ตลาดหุ้นเป็นขาลงหรือลงแรงๆ หรือแม้แต่การประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจต่างๆจะย่ำแย่ลงนั้น ผมมักที่จะได้รับความห่วงใยจากเพื่อนฝูง, พี่น้อง, พ่อแม่ และพี่ป้าน้าอาว่าให้ระวังตลาดด้วยนะ อย่ามัวแต่เล่นหุ้นโดยไม่สนใจปัจจัยอื่นๆภายนอกอะไรเลย แน่นอนว่าผมย่อมรู้สึกยินดีที่ได้รับความห่วงใยจากทุกคนที่รู้จักเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ผมก็มักจะทนไม่ไหวที่จะต้องตอบกลับไปว่าระบบการลงทุนที่ผมใช้อยู่นั้นสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องไปสนใจปัจจัยอื่นๆนอกเหนือจากราคาหุ้นสักเท่าไหร่นัก ซึ่งผลที่มักเกิดขึ้นก็คือ ด้วยคำพูดปากปล่าวของผมเพียงอย่างเดียวมันทำให้ในหลายๆครั้งไม่มีใครเข้าใจผมสักเท่าไหร่ ดังนั้นวันนี้ผมจึงอยากจะแชร์คำตอบอย่างละเอียดที่ว่าทำไมผมและนักลงทุนตามแนวโน้มอีกหลายๆท่าน จึงน่าจะเป็นนักลงทุนที่ “ตายยาก” และอยู่ในตลาดไปได้นานอีกหลายปีกันครับ

เล่นไปตามแนวโน้มของตลาด
ความลับข้อแรกที่ทำให้โอกาสขาดทุนแบบบักโกรกจนต้องตายจากไปจากตลาดหุ้นของพวกผมนั้นน่าจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อยก็คือ ผมเล่นหุ้นตามแนวโน้มใหญ่ที่เกิดขึ้นของตลาดครับ

แล้วมันจะช่วยอะไรผมได้อย่างนั้นหรือ?
คำตอบก็เพราะปรากฎการณ์ “แนวโน้มราคา” ของตลาดหรือหุ้นนั้น เป็นปรากฎการณ์ความไร้ประสิทธิภาพของตลาดหุ้น (Market Anomaly) ซึ่งเกิดขึ้นจากพฤติกรรมและ “สันดาน” ที่ยากจะเปลี่ยนแปลงของนักลงทุนในตลาดอย่างเราๆทั้งหลาย ที่มีมาอย่างยาวนานและกว้างขวางในตลาดหุ้นหรือแม้แต่ตลาดสินทรัพย์อื่นๆทั่วโลกนั้่นเอง ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ช่วยให้นักลงทุนและกองทุนชื่อดังหลายๆคนสามารถที่จะทำกำไรเอาชนะตลาดจนร่ำรวยมหาศาลมาได้นักต่อนัก และโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยนั้น ปรากฎการณ์เหล่านี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะจบลงหรือหมดประสิทธิภาพไปอย่างง่ายๆเลย โดยที่คุณจะสังเกตุได้จากกราฟ Rolling CAGR ของระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นผลตอบแทนทบต้นตามช่วงเวลาในการคำนวณย้อนหลังจุดละ 36 เดือนหรือ 3 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันยังคงมีความเสถียรและเอาชนะดัชนี SET Index ได้อยู่ในระยะยาว
แน่นอนครับว่าแม้ในอนาคตจะไม่มีอะไรแน่นอน และปรากฎการณ์เหล่านี้ก็อาจจะลดพลังของมันลงหรือหายไปก็เป็นได้ แต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้นั้นจากงานวิจัยต่างๆหลายๆชิ้น มันก็ยังถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์รูปแบบหนึ่งที่มีความเสถียร (Robust Anomaly) และมีประสิทธิภาพในการทำกำไรชนิดหนึ่งของโลกใบนี้เลยก็ว่าได้

setlnw1-Cumulative-Return-Chart_thumb

 

ภาพที่ 1 : ภาพกราฟ Cummulative Return แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนสะสมของระบบ Trend Following ธรรมดาๆรูปแบบหนึ่งซึ่งอาศัยการทำกำไรจากแนวโน้มขนาดใหญ่ในตลาด เปรียบเทียบกับดัชนี SET Index ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเล่นหุ้นตามแนวโน้มในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยที่ภายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น จากการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) ด้วยการกำหนดเงื่อนไขอย่างเข้มงวดในระดับหนึ่ง มันได้สร้างการผลกำไรสะสมราว 25.46 เท่าเมื่อเทียบกับดัชนี SET Index ที่ 1.2 เท่า และให้ผลตอบแทนทบต้นหรือ CAGR ที่ราว 40% ต่อปี ในขณะที่ SET Index มี CAGR อยู่ที่ราว 9% เท่านั้น

setlnw2-ATH-Rolling-CAGR_thumb

 

ภาพที่ 2 : ภาพกราฟ Rolling CAGR ของระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความเสถียรของระบบการลงทุนในลักษณะนี้ โดยที่ค่าที่แสดงให้เห็นนี้เป็นค่า CAGR คำนวณย้อนหลัง 3 ปีในแต่ละจุดของเวลาเปรียบเทียบระหว่างระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่งกับดัชนี SET Index ภายในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ ค.ศ. 2005-2014

การตัดขาดทุนและถอยเพื่อรอโอกาส

การตัดขาดทุน (Cut Losses) คือกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มตายยากยิ่งขึ้น สาเหตุก็เพราะว่าพวกมันนั้นทำหน้าที่เสมือนกับ Safe-T-Cut ช่วยตัดโอกาสที่เราจะเจอกับการขาดทุนอย่างหนักจนทำให้พอร์ทโฟลิโอโดยรวมนั้น “ฟกช้ำดำเขียว” จนเน่าเฟะและยากต่อการที่จะสามารถทำกำไรกลับมาเท่าทุนได้ นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่หลายๆคนไม่เคยรู้เลยก็คือ สัญญาณการขายหรือ Exit Signal ที่เกิดขึ้นจากกลยุทธ์แบบ Trend Following นั้น มักที่จะค่อยๆทยอยเกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นโดยรวมจะเกิดการดำดิ่งลงไปอย่างนักเสียด้วย! นั่นจึงทำให้นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following ที่มีวินัยส่วนใหญ่นั้นสามารถที่จะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราจของตลาดหุ้น โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจปัจจัยอื่นๆเลยนอกจากแนวโน้มของราคาหุ้นในขณะนั้น

SETlnw3-All-Stocks-Trend_thumb

ภาพที่ 3 : ภาพกราฟ SET Index VS. Bullish Stock Composite แสดงสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในแต่ละวัน โดยที่มันได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อตลาดหรือ SET Index เริ่มย่ำแย่ลง หุ้นต่างๆในตลาดจะเริ่มมีสัญญาณขายออกมาจนทำให้แนวโน้มของหุ้นที่เป็นขาขึ้นในขณะนั้นลดลงไปเรื่อยๆโดยอัตโนมัติ ในขณะที่สัญญาณซื้อจะค่อยๆเกิดขึ้นเมื่อตลาดกลับมาดีอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้สัดส่วนของจำนวนขึ้นที่เป็นขาขึ้นนั้นสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ

SETlnw4-VS-Margin_thumb

ภาพที่ 4 : กราฟ SET Index VS. %Margin ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนมูลค่าเงินลงทุน ของพอร์ทโฟลิโอในแต่ละช่วงเวลา โดยเราจะสังเกตได้ว่าเมื่อตลาดเป็นย่ำแย่นั้น สัดส่วน %Margin ลดลงโดยอันโนมัติ ในขณะที่เมื่อตลาดค่อยๆดีขึ้น %Margin ก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติเช่นกันจากสัญญาณที่เกิดขึ้นจากระบบ

การเล่นแบบเป็นเข่ง 

ความลับที่ไม่ลับอีกอย่างของกลยุทธ์ Trend Following ที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือการเล่นแบบเป็นเข่งหรือ Portfolio Trading ครับ เนื่องจากว่ากลยุทธ์การทำกำไรตามแนวโน้มนั้น ชื่อก็บอกว่าอยู่แล้วว่าเป็นการทำกำไรตามแนวโน้ม ดังนั้นถ้าหุ้นไม่มีแนวโน้มขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันมันก็ไม่มีทางกำไร และแนวโน้มใหญ่ๆที่ว่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นไม่กี่ครั้งในหุ้นแต่ละตัวเท่านั้น (หุ้นตัวหนึ่งๆอาจมีแนวโน้มใหญ่ๆแบบ Super Trend เพียง 2-3 รอบของชีวิตเท่านั้น)

นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงหาทางออกด้วยวิธีการง่ายๆอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเฝ้ามองหุ้นเป็นตะกร้าคราวละหลายๆตัวแทนที่จะเป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัว และค่อยๆทยอยเข้าซื้อขายหุ้นคราวละน้อยๆแทน โดยมีเหตุผลเพื่อที่จะทำให้เราสามารถเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้อยู่เสมอ และไม่พลาดโอกาสในการเข้าทำกำไรไป

ด้วยความประจวบเหมาะตรงนี้เองที่ทำให้พอร์ทโฟลิโอของนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงมีลักษณะของการกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นหลายๆตัวโดยอัตโนมัติ จนทำให้ความเสี่ยงรายตัวของหุ้นที่ถืออยู่ลดลง คงเหลืออยู่แต่ความเสี่ยงของตลาดหรือ Market Risk ที่มักจะเป็นตัวกดดันให้หุ้นส่วนใหญ่วิ่งไปพร้อมๆกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากตลาดหรือ Market Risk ตรงนี้ก็จะถูกบรรเทาลงไปได้ด้วยการใช้กลไกของการ Stop Loss ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดไม่เป็นใจนั่นเองครับ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว สำหรับนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มที่มีพอรท์การลงทุนที่ใหญ่และกว้างขวางสามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์หลายๆอย่างก็ยิ่งจะได้รับผลประโยชน์จากการเล่นแบบเป็น “เข่ง” ในข้อนี้ยิ่งขึ้นไปอีก จนทำให้กองทุน Hedge Fund ประเภท Commodity Trading Advisor (CTA) ชื่อดังหลายๆกองทุนได้แจ้งเกิดในเวทีโลกกันอย่างมากมาย

SETlnw5-Indrustries-Cumulative-Returns-2011-2014_thumb

ภาพที่ 5 : ภาพกราฟ Industries Cummulative Returns ซึ่งช่วยแยกผลกำไรที่เกิดจากระบบ Trend Following ออกเป็นรายอุตสาหกรรม ทำให้เราได้เห็นว่าการมีหุ้นที่เป็น Watchlist และกระจายน้ำหนักการลงทุนไปในหลายๆอุตสาหกรรมนั้นจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากหุ้นในอุตสาหกรรมหลายๆกลุ่มอาจไม่ได้วิ่งขึ้นลงพร้อมๆกัน การมีตะกร้าหุ้นที่กว้างขวางจะช่วยเปิดโอกาสให้เราสามารถทำกำไรได้บ่อยครั้งและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

 

Note : ค่ากราฟไม่ได้เริ่มต้นจาก 0 เนื่องจากผมได้ทำการ Backtest เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 – ปัจจุบัน

การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

นอกจากที่กลยุทธ์การลงทุนตามแนวโน้มแบบ Trend Following จะช่วยทำให้เราไม่ตกรถในตลาดขาขึ้น และติดดอยในตลาดขาลงแล้วนั้น เป็นที่รู้กันดีว่ากลยุทธ์แบบ Trend Following นั้นมักที่จะให้สัญญาณการซื้อที่มีความแม่นยำค่อนข้างต่ำ (แต่ก็ช่วยชนะตลาดได้นะ 55) ดังนั้นองค์ประกอบที่สำคัญมากๆอีกอย่างหนึ่งของพวกมันก็คือการจัดการความเสี่ยงผ่านการกำหนดขนาดหรือเม็ดเงินในการลงทุนให้เหมาะสมในการซื้อขายแต่ละครั้งอยู่เสมอ (Money-Risk Management) นั่นจึงทำให้เรามักไม่เกิดการขาดทุนอย่างหนักขึ้นในการซื้อขายแต่ละครั้ง ดังนั้นเมื่อเวลาที่ตลาดเป็นขาลงหรือตลาดที่ผันผวนมากๆมาถึงแบบไม่รู้ตัวนั้น นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงมักที่จะรอดตายได้อย่างปาฎิหารย์แบบไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้

setlnw7-Drawdown-2007-2008_

ภาพที่ 6  : ภาพกราฟ Drawdown แสดงให้เห็นถึงอัตราการขาดทุนสะสมของระบบ Trend Following จากจุดสูงสุดในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี ค.ศ 2007-2008 (สีเขียว) เปรียบเทียบกับ Drawdown ของดัชนี SET Index ในขณะนั้น (สีดำ) ซึ่งทำให้เห็นว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following สามารถที่จะช่วยให้เราเอาตัวรอดไม่เจ็บตัวอย่างหนักได้เป็นอย่างดี

setlnw6-Drawdown-2014

ภาพที่ 7 : ภาพกราฟ Drawdown ของระบบเปรียบเทียบกับดัชนี SET Index ในปีล่าสุด ค.ศ. 2014 ที่พึ่งจะเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นดำดิ่งและเหวี่ยงอย่างรุนแรงในวันที่ 15-12-2014 ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลยุทธ์การเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following ก็ยังคงสามารถที่จะเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มหลายๆคนถึงยังขาดทุนจนเจ๊งล่ะ?

ก่อนจะจบบทความนี้นั้น ผมเองก็อยากจะพูดถึงคำถามที่มักจะถูกถามหลังจากที่ผมอธิบายสิ่งเหล่านี้จนจบไปเรียบร้อยแล้วอีกสักนิด โดยที่คำตอบของผมนั้นก็คงจะเหมือนกับการที่คุณถามว่า “ทำไมหลายๆคนที่เรียนบริหารธุรกิจ จึงยังทำธุรกิจจนเจ๊งขาดทุน” นั่นแหละครับ

มันยังคงมีองค์ประกอบอื่นๆในการลงทุนอีกมากมายนอกเหนือจากกลยุทธ์หรือระบบการลงทุนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นความอดทนมุ่งมั่น, ความรู้ความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์นั้นๆ, ทัศนคติในการลงทุน, วินัยในการลงทุนต่างๆ, EQ-IQ รวมไปถึงข้อจำกัดในการลงทุนของแต่ละคน หรือแม้แต่คำว่า “ดวง” อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จะส่งผลกระทบอย่างยิ่งยวดต่อผลการลงทุนแทบทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วมันจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีทั้งคนที่ยังขาดทุนจนย่อยยับ จนไล่ไปถึงคนที่สามารถจะดำรงชีพอยู่ด้วยการลงทุนในตลาดนั่นเอง

และนี่ก็คือทั้งหมดของบทความนี้ครับ ซึ่งผมหวังว่ามันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดคนที่สามารถจะลงทุนด้วยกลยุทธ์การลงทุนตามแนวโน้มอย่างมีวินัย จึงมีโอกาสที่จะขาดทุนอย่างย่อยยับค่อนข้างน้อย แม้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับสภาพตลาดที่ผันผวนสักเท่าไรนั่นเองครับ ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคน แล้วเจอกันใหม่ครับผม

mangmaoclub

สาเหตุที่ทำให้คนเล่นหุ้นแบบ Trend Following ตายยาก!