หุ้นที่มีสัญลักษณ์เชิงบวก 4 กุมภาพันธ์ 2558

หุ้นที่มีสัญลักษณ์เชิงบวก

 

โปรแกรม Tisco stock scan

โดยเลือกฟังชั่น Upside% คือการแสกนหุ้นที่สถิติในเชิงบวกโดยคิดเป็นเปอร์เซ็น และได้ผลลัพท์ออกมาดังนี้

  • หุ้น EARTH  มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 31.69%  ราคาอยู่ที่ 4.86 บาท
  • หุ้น HMPRO  มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 30.96%  ราคาอยู่ที่ 8.40 บาท
  • หุ้น ROBINS  มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 26.09%  ราคาอยู่ที่ 46.00 บาท
  • หุ้น SIRI มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 25.00%  ราคาอยู่ที่ 1.84 บาท
  • หุ้น KTC  มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 24.24%  ราคาอยู่ที่ 65.00 บาท
  • หุ้น BANPU มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 21.57%  ราคาอยู่ที่ 25.50 บาท
  • หุ้น CPN มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 19.57%  ราคาอยู่ที่ 46.00 บาท
  • หุ้น PTTEP มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 9.55%  ราคาอยู่ที่ 120.50 บาท
  • หุ้น LH มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 9.10%  ราคาอยู่ที่ 9.35 บาท
  • และ BLAND มีสัญลักษณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น 2.24%  ราคาอยู่ที่ 1.79 บาท

นี่เป็นเพียงสัญลักษณ์และสัญญานทางเทคนิค

ซึ่งนักลงทุนควรศึกษาปัจจัยพื้นฐาน  ของหุ้นแต่ละตัวก่อนลงทุน

และขอให้โชคดีในการเทรดคับ

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/setlnw 

บล.บัวหลวง รายงานภาวะรอบด้านตลาดหุ้น

บล.บัวหลวง รายงานภาวะรอบด้านตลาดหุ้น 4 กุมภาพันธ์ 2558

มุมมองตลาด

ตลาดหุ้นไทยปิดทะลุ 1600 จุด ปัจจัยบวกยังคงเป็นเรื่องของกระแสเงินลงทุนที่ไหนเข้าสู่ตลาดทุน หนุนจากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางยุโรป อย่างไรก็ตามจากมาตรการ QE ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนๆพบว่าแผนมูลค่า 1.1 ล้านล้านยูโรของธนาคารกลางยุโรปอาจไม่ได้ช่วยให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในแถบเอเชียเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่จะช่วยให้ตลาดทรงตัวอยู่ในระดับซื้อขายที่ค่อนข้างสูงได้ ในส่วนของภาวะการซื้อขายของตลาดโดยรวมพบว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ฟื้นตัวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเนื่องจากเหตุผล

1.จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐลดจากเดือนต.ค 57 ราว 24%
2.กองทุนเฮดฟันด์ทำ short covering ช่วงเปลี่ยนซีรีส์
3.การวิ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบเร็วทำให้กลุ่มผลิตน้ำมันดิบลดจำนวนแท่นผลิต
4.ปริมาณอุปสงค์น้ำมันดิบทั่วโลกยังเพิ่มช้ากว่าคาด

สรุป : มุมมองราคาน้ำมันดิบอาจฟื้นตัวระยะสั้น อย่างไรก็ตามระยะยาวคาดว่าราคาน้ำมันจะยังไม่ปรับตัวขึ้นได้ไกล ฝ่ายวิเคราะห์เราคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/57 กำไรของบริษัทในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะอ่อนตัวลง

สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ถึงความเสี่ยงภายหลังจากการสร้างรูปแบบ Triple top ของการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลง ขณะที่เครื่องมือทางเทคนิค RSI ปรับตัวขึ้นเข้าสู่กรอบบน Overbought ( กรณีหักล้างดัชนีต้องทะลุ 1610 จุดขึ้นไปและยืนเหนือได้) นอกจากนี้เรามองว่าตลาดจะมีความเสี่ยงจากเครื่องมือ RSI ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้กรอบบนซึ่งหมายถึงมูลค่าตลาดที่ค่อนข้างแพง
มุมมองราคาน้ำมันดิบและหุ้นกลุ่มพลังงาน

ราคาน้ำมันดิบ Wti เทรดในตลาด New York กับ Brent ที่ซื้อขายในตลาด London เมื่อวานยังคงทะยานขึ้นต่อจากภาวะ oversold โดยมีปัจจัยเรื่องการลดจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในประเทศสหรัฐเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อ cover ฟิวเจอร์กลับจากบรรดากองทุนเฮดฟันด์ที่ทำการซื้อขายและเปิดสัญญาด้าน Short มาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี เรามองว่าปัจจัยพื้นฐานน้ำมันเองนั้นยังไม่เห็นสัญญานที่ชี้ชัดว่า ราคาน้ำมันที่ระดับ $53 ต่อบาร์เรลจะสามารถทรงตัวได้ในขณะนี้ท่ามกลางปริมาณน้ำมันดิบผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้งกลุ่มโอเปค และ นอกกลุ่มโอเปค

PTT ราคาปิดเมื่อวานนี้ทำให้อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนเทียบเท่ากับตลาดโดยรวม โดยปัจจัยที่ไม่แน่นอนของตลาดน้ำมัน แต่ปัจจัยบวกระยะสั้น คือ การขายหุ้นที่ถือใน BCP ออกไปให้กองทุนวายุภักษ์ 15% และกำลังเจรจาขายหุ้นที่เหลืออีก 12% ให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นรายอื่นต่อไป โดยได้เงินราว 1 หมื่นล้านบาท และมีกำไรราว 5 พันล้านบาท เราประเมินว่าโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นได้ดีกว่าดัชนีตลาดฯนั้นยาก เราแนะนำขายระดับ 380 +/-

PTTEP ราคาปิดสะท้อนการดีดตัวระยะสั้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ราคาน้ำมันดิบเราประเมินระยะสั้นได้เพียง $55 ต่อบาร์เรล ดังนั้น ราคาหุ้นน่าจะทดสอบแนวต้าน 125 บาท และน่าจะทะลุไปได้ไม่เกิน 130 บาท มุมมองสั้น รอขายที่บริเวณราคาแนวต้าน

กสิกรไทย ผนึกซีพี ออลล์ เปิดตัว “บัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE”

กสิกรไทย ผนึกซีพี ออลล์ เปิดตัว “บัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE” ตั้งเป้าออกบัตรปีนี้ 1 ล้านใบ

setlnw-kasikornbank cpall_new_setlnw

ธนาคารกสิกรไทย จับมือซีพี ออลล์ ออก “บัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE” เน้นเป็นยูนิเวอร์แซล เดบิต การ์ด (Universal Debit Card) ชูจุดแข็งใบเดียวสะดวกสุด ๆ ใช้ที่เซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศ และร้านอื่นได้ทั่วโลก พร้อมรับสิทธิประโยชน์ครบครันจากธนาคารกสิกรไทย และเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดบริการมีนาคมนี้ ตั้งเป้าออกบัตร 1 ล้านใบ

นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำธุรกิจบัตรเดบิต ธนาคารกสิกรไทยยังคงมุ่งพัฒนา “ยูนิเวอร์แซล เดบิต การ์ด” (Universal Debit Card) คือ ใช้บัตรเดบิตเพียงบัตรเดียวได้ในทุกที่และทุกเรื่อง ทั้งธุรกรรมการเงิน การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การเดินทาง ท่องเที่ยว การช้อปปิ้งทั้งในร้านค้าและบนออนไลน์ พร้อมมีสิทธิประโยชน์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายในแต่ละไลฟ์สไตล์

ล่าสุดธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น ออกบัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE ซึ่งนับเป็นธนาคารแห่งแรกของประเทศไทยที่ร่วมกับเซเว่นอีเลฟเว่นในการออกบัตรเดบิตโคแบรนด์ ที่เป็นทั้งบัตรเดบิตและเป็นกระเป๋าเงินสด (Electronic Purse) ในบัตรเดียวกัน ที่สำคัญเป็นการขยายช่องทางเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ถือบัตรเดบิตในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันผ่านเครือข่ายร้านค้าสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีกว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถตอบความต้องการของลูกค้าได้ตลอดเวลา และยังสามารถนำ บัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE ไปใช้ได้ที่ร้านค้าอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ โดยบัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE จะเปิดให้สมัครใช้บริการได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป และตั้งเป้ายอดบัตรเดบิตดังกล่าว 1 ล้านใบภายในสิ้นปีนี้

นายปกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมตลาดบัตรเดบิตในปี 2557 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ถือบัตรเดบิตประมาณ 45 ล้านใบ มีมูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ในประเทศประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมีมูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจบัตรเดบิต โดยธนาคาร ฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการออกบัตรเดบิตรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้ง K-My Debit card และ K-Max Debit Card ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าทั้งสิทธิประโยชน์ (Functional) และการสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ (Emotional)

นายโกษา พงศ์สุพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ซีพี ออลล์ และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด บริษัทในกลุ่มซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านอิ่มสะดวกของคนไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันเซเว่นอีเลฟเว่นมีอยู่กว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศมีลูกค้าใช้บริการไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ล้านคน รวมถึงเล็งเห็นแนวโน้มของการใช้บัตรเดบิตที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยในการพัฒนา บัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE ถือเป็นนวัตกรรมที่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเซเว่นอีเลฟเว่นได้มอบสิทธิประโยชน์ความเป็นสมาชิกบัตรเซเว่นการ์ดให้กับลูกค้าบัตรเดบิตกสิกรไทย 7 PURSE ด้วยทันที อาทิเช่น การได้ซื้อสินค้าในราคาถูกกว่า, การสะสมแต้มจากการใช้จ่ายและสามารถนำมาใช้แทนเงินสด หรือแลกพรีเมี่ยม และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงธุรกิจในกลุ่มซีพี ออลล์ เช่น บุ๊คสไมล์, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง, ร้านยาเอ็กซ์ต้า พลัส, ร้านกาแฟ และเบเกอรี่อบสด คัดสรร นอกจากนี้ยังสามารถนำบัตรไปใช้จ่ายตามร้านค้าเครือข่ายของสมาร์ทเพิร์ส ทั้งสถานีบริการน้ำมัน ค่าผ่านทางโทลล์เวย์ และอื่น ๆ อีกกว่า 24,000 จุดทั่วประเทศ โดยคาดหวังว่าบัตรใบนี้จะช่วยขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอื่นๆ ที่ยังไม่ใช่ลูกค้าประจำของร้านเซเว่น อีเลฟเว่นเพิ่มเติมด้วย”

บอร์ด ปตท.ขายหุ้น”บางจาก”ให้กองทุนวายุภักษ์

บอร์ด ปตท.ขายหุ้น”บางจาก”ให้กองทุนวายุภักษ์ 15% ที่เหลือเปิดกว้างผู้สนใจเสนอซื้อ

ptt

บอร์ด ปตท.อนุมัติขายหุ้นบางจากให้กองทุนวายุภักษ์ 15% ที่เหลืออีก 12.22% เจรจากับผู้ที่สนใจซื้อ โดยเปิดกว้างให้ผู้ที่สนใจเสนอเงื่อนไขและราคาเข้ามา มั่นใจแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2558 ย้ำเหตุเลือกกองทุนวายุภักษ์เนื่องจากเสนอราคาและเงื่อนไขดีที่สุดมา มั่นใจดีลนี้ได้เงินไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท และรับรู้เป็นกำไรจากการขายหุ้น 4-5 พันล้านบาท

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)วาระพิเศษเรื่องการขายหุ้นบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(BCP)ที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ 27.22%วันนี้ (3 ก.พ.) ว่า ที่ประชุมบอร์ดปตท.พิจารณาอนุมัติให้ขายหุ้นบางจากฯทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนแรกขายหุ้นบางจากฯสัดส่วน 15% ให้กับกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งรายละเอียดจะมีการเจรจากันอีกครั้ง

ส่วนที่ 2 จำนวนหุ้นบางจากที่เหลืออีก 12.22%นั้นกำลังเจรจาขายหุ้นกับผู้ที่สนใจที่เสนอเงื่อนไขและราคาที่ดี โดยเปิดกว้างให้กับผู้ที่สนใจนอกเหนือจากผู้สนใจที่ยื่นราคาเสนอซื้อมาก่อนหน้านี้จำนวน 2 ราย คือ บริษัท เมอร์ริเมดไทม์ของกลุ่มนายประยุทธ์ มหากิจศิริ และกลุ่มเอ็มบีโอ ซึ่งนำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการบริษัทบางจาก กลุ่มผู้บริหารและพนักงานบางจากฯ โดยจะเลือกผู้ที่ยื่นข้อเสนอมาดีที่สุด คาดว่าการเจรจาขายหุ้นบางจากทั้งหมดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2558 นี้

นายไพรินทร์ กล่าวยอมรับ การตัดสินใจขายหุ้นบางจากฯ 15%ให้กับกองทุนวายุภักษ์นี้ แม้ว่ากองทุนฯจะยื่นข้อเสนอเงื่อนไขและราคาภายหลังจากที่บริษัทปิดรับผู้ที่สนใจเสนอเงื่อนไขมาก็ตาม แต่ราคาและเงื่อนไขที่กองทุนวายุภักษ์เสนอมานั้นดีที่สุด อีกทั้งกองทุนวายุภักษ์เองก็ถือหุ้นใน ปตท.อยู่แล้ว

ทั้งนี้ ปตท.มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นบางจากทั้งหมด 27.22%จะได้เงินไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยจะบันทึกเป็นกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวอยู่ที่ 4-5 พันล้านบาท

“เราตั้งใจขายหุ้นบางจากฯทั้งหมดอยู่แล้ว เบื้องต้นขายหุ้นบางจากให้กองทุนวายุภักษ์ 15% โดยราคาได้มีการตกลงกันแล้ว แต่ยังบอกไม่ได้จนกว่าจะเจรจาขายหุ้นบางจากส่วนที่เหลือจบก่อน แต่ยืนยันว่าเป็นข้อเสนอที่เหมาะสมต่อทั้งคนซื้อและคนขาย โดยอยากให้ราคาเสนอขายหุ้นบางจากทั้ง 2 ส่วนมีราคาที่เท่ากัน โดยยืนยันว่าการเสนอขายหุ้นที่เหลืออีก 12.22%จะไม่ปิดทางใคร โดยเชื่อว่าภายในไตรมาส 1นี้จะได้ข้อสรุปทั้งหมด”

นายไพรินทร์ ยืนยันว่า มติบอร์ด ปตท.ในครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการล้มดีล เนื่องจากมีการขายหุ้นบางจากฯอยู่ เพียงแต่ข้อเสนอของบริษัทที่เสนอซื้อหุ้นบางจากมาก่อนหน้านี้ทั้ง 2 รายยังไม่ใช่ข้อเสนอที่ดีที่สุด และยืนยันว่าการขายหุ้นบางจากไม่มีเงื่อนไขบังคับให้ผู้ที่สนใจต้องมีแบงก์การันตีถึง 1 หมื่นล้านบาทแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวออกมาว่าดีลการขายหุ้นบางจากฯถูกเบรกไม่ให้ขายหุ้นให้กลุ่มนายประยุทธ์ที่เสนอราคาซื้อหุ้นบางจากฯมาสูงกว่ากลุ่มนายพิชัย เนื่องจากป้องกันไม่ให้กลุ่มทุนการเมืองเข้ามามีบทบาทการบริหารจัดการบางจากฯ หลังจากมีกระแสคัดค้านจากพนักงานบางจากที่ไม่ต้องการให้ปตท.ขายหุ้นออกไป จึงเสนอให้กระทรวงการคลังเข้ามาซื้อแทนผ่านกองทุนวายุภักษ์ แต่เนื่องจากติดเงื่อนไขบางอย่าง ทำให้กองทุนวายุภักษ์ไม่สามารถเข้ามาซื้อหุ้นบางจากทั้งหมดได้ คงซื้อได้เพียง 15%เท่านั้น

ส่วนแนวทางการการดึงกองทุนวายุภักษ์เข้ามาถือหุ้นบางจากนี้ เชื่อว่าฝ่ายบริหารและพนักงานบางจากฯจะเห็นชอบแนวทางนี้ ดีกว่าอยู่ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มนายประยุทธ์อย่างแน่นอน เพราะถ้าบริษัท เมอร์ริเมดไทม์เข้ามาถือหุ้นใหญ่ สิ่งแรกคือการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัทบางจากฯ รวมทั้งแนวนโยบายการบริหารงานซึ่งไม่ส่งผลดีต่อผู้บริหารและพนักงานบางจากฯ

โพส ผู้จัดการออนไลน์

หุ้น UREKA เพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ฟรี 2:1

ผู้ถือหุ้น UREKA “ยูเรกา ดีไซน์”ไฟเขียวเพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ฟรี 2:1

ureka

ผู้ถือหุ้น “ยูเรกา ดีไซน์” ไฟเขียวเพิ่มทุนขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 4:1 ที่ ราคา 1.15 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ฟรี ในอัตราส่วน 2:1 ด้าน “นรากร ราชพลสิทธิ์” เผยเตรียมนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจตามแผน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้ “เทิร์นอะราวนด์” ปักธงรายได้รวมแตะ 800 ล้านบาท มั่นใจอุตสาหกรรมยานยนต์ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมลุยตลาดต่างประเทศเต็มสูบ เพื่อกระจายฐานรายได้

นายนรากร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2558 มีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีก จำนวน 78,625,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 314,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 85 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่เป็น จำนวน 163,625,000 บาท

ทั้งนี้ ได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 85 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายในคราวเดียวกัน หรือต่างคราวกันให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในอัตรา 4 หุ้นเดิมได้ 1 หุ้นใหม่ ราคาจองซื้อ 1.15 บาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 212,500,000 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นที่ออกใหม่ ที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิฟรี อายุ 2 ปี ราคาการใช้สิทธิเท่ากับหุ้นละ 0.50 บาท

นอกจากนี้ ยังจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 17 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่บริษัทจะแจกฟรีให้แก่พนักงานของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย ภายใต้โครงการการเสนอขายหลักทรัพย์ให้แก่พนักงานของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย (ESOP Scheme) โดยไม่มีราคาเสนอขาย อายุไม่เกิน 3 ปี อัตราการใช้สิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น ราคาการใช้สิทธิเท่ากับหุ้นละ 1.50 บาท

“วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินเพิ่มทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และเพื่อใช้รองรับและเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อย สร้างโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยั่งยืนในอนาคต และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว” นายนรากร กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2558 จะกลับมาเทิร์นอะราวนด์ โดยตั้งเป้ารายได้รวมที่ 800 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยที่ผ่านมา เราได้ปรับกลยุทธ์และเตรียมความพร้อมรับมือ พร้อมกับกระจายฐานรายได้สู่ตลาดต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศ โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปีนี้ที่คาดมีสัดส่วน 2% ของรายได้รวม