ปัจจัยสำคัญ-กลยุทธ์ลงทุนปี 2558

สวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ในปีนี้เราเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดหุ้นจะมีการเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญหลาย ๆ อย่างที่ต้องติดตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

setlnw-2558

1.การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสที่เงินจะไหลกลับไปที่สหรัฐอเมริกา

2.การทำ Public QE ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพิ่มเติมจากมาตรการที่ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น TLTROs (Targeted Longer-Term Refinancing Operations) การเข้าซื้อ Covered Bonds (ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อคุณภาพดีหนุนหลัง) และ Asset-Backed Securities (ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หนุนหลัง) เพื่อทำให้งบดุลของ ECB เพิ่มเป็น 3 ล้านล้านยูโร และลดปัญหาเงินฝืด

3.การปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมัน ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตน้ำมันในอเมริกา รัสเซีย และตะวันออกกลาง แต่ส่งผลดีต่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน และประเทศที่เน้นการผลิต เนื่องจากทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง

4.ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของรัสเซีย การอ่อนค่าของเงินรูเบิล อาจทำให้รัสเซียมีปัญหาการชำระหนี้ได้ ซึ่งอาจกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้น

ทางทิสโก้เวลธ์มองว่าถึงแม้จะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนรออยู่ข้างหน้า แต่ยังมีประเทศที่ได้รับผลดีจากปัจจัยบวก และได้รับผล กระทบไม่มากนักจากปัจจัยลบข้างต้น ดังนี้

สหรัฐอเมริกา-เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 2558 คาดว่า GDP เติบโตประมาณ 3% โดยอัตราการว่างงานปัจจุบันปรับตัวลดลงมาที่ 5.8% จาก 6.7% ตอน ม.ค.ปี 2557 รวมทั้งราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ปรับตัวลง ทำให้การบริโภคมีการขยายตัวมากขึ้น (การบริโภคเป็น 70% ของ GDP) และรัฐบาลมีแผนที่จะออกมาตรการลดภาษีนิติบุคคล และลดภาษีในการนำเงินกลับประเทศ กอปรกับการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยผลักดันให้มีเงินไหลกลับมาลงทุนในอเมริกามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้น S&P500 ปรับเพิ่มขึ้นได้ เมื่อพิจารณา Forward P/E ปี 2015 อยู่ที่ 16x ถือว่าแพงเล็กน้อย ดังนั้นจึงแนะนำให้เริ่มซื้อลงทุนเมื่อดัชนี S&P500 ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 2,000 จุด (Target 2,200 จุด)

จีน-ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีเป้าหมายปฏิรูปประเทศโดยลดการพึ่งพิงการส่งออก เน้นการบริโภคภายในประเทศ ลดการคอร์รัปชั่น และพยายามควบคุมปัญหาเรื่องธนาคารเงา ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจของจีนในปี 2558 จะเติบโตประมาณ 7% นอกจากนั้นจากการที่น้ำมันราคาลดลงจะช่วยให้จีนมีต้นทุนผลิตต่ำลง เงินเฟ้อลดลง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจีนสามารถใช้นโยบายการเงินเพิ่มเติม เช่น การลดดอกเบี้ย (ล่าสุดเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปีลง 0.25% เหลือ 2.75% และลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.4% เหลือ 5.6%) หรือนโยบายการคลังอื่น ๆ กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ รวมทั้ง Forward P/E ของ H-Share ปี 2015 ของจีนอยู่ที่ 8 เท่าเท่านั้น ซึ่งนับว่าถูกมาก

กลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ได้แก่ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้-เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มนี้พึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นการที่เศรษฐกิจประเทศอเมริกา และจีนเติบโต และเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่า ย่อมส่งผลให้การส่งออกของกลุ่มประเทศเหล่านี้เติบโตไปด้วย (3 ประเทศนี้ส่งออกไปจีน และสหรัฐมากเป็นอันดับ 1 และ 2) นอกจากนั้นการที่น้ำมันถูกลงจะทำให้ไต้หวัน และเกาหลีใต้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง รวมทั้งถ้ายุโรปมีการทำ QE เพิ่มเติมก็จะมีเงินบางส่วนไหลเข้าประเทศในกลุ่มนี้ เนื่องจาก P/E ของตลาดหุ้นกลุ่มนี้ยังถูกอยู่ที่ประมาณ 10 เท่าเท่านั้น

ไทย-ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2558 จะเติบโตประมาณ 4% ซึ่งจะขับเคลื่อนโดยการลงทุนภาครัฐ การส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้การบริโภคค่อย ๆ ฟื้นตัวตามมาตามรายรับที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงปลายปี 2557 ต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์แรกของปี 2558 ตลาดปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด จากที่เคยขึ้นไปแตะที่ 1,600 จุด จากการปรับลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน แรงขายของ LTF และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ (ปี 2556 ขายสุทธิ 193,911 ล้านบาท ปี 2557 ขายสุทธิ 36,584 ล้านบาท) เราจึงมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปซื้อลงทุนในช่วงดัชนีต่ำกว่า 1,500 จุด เนื่องจากมี Upside มากกว่า 10%

จากที่กล่าวมาทั้งหมดคือปัจจัยที่ต้องติดตามตลอดปี 2558 และเรามองว่าประเทศอเมริกา จีน เอเชียเหนือ และไทย ยังเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีได้

กสิกรฯ คาดสัปดาห์หน้าหุ้นไทยปรับขึ้น

กสิกรฯคาดเงินบาทสัปดาห์หน้าอยู่ในกรอบ 32.85-33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ เชื่อหุ้นไทยปรับขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ว่า เงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยเงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงต้นสัปดาห์ สอดคล้องกับการร่วงลงของสกุลเงินในเอเชีย ท่ามกลางการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนจากประเด็นปัญหาการเมืองของกรีซ อย่างไรก็ดี แรงขายสินทรัพย์เสี่ยงที่เริ่มชะลอลงบางส่วน ก็ช่วยหนุนให้เงินบาทฟื้นตัวขึ้นช่วงสั้นๆ กลางสัปดาห์ ก่อนที่จะกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ ตามสถานะขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ

สำหรับในวันศุกร์ (9 ม.ค.) เงินบาทอยู่ที่ 32.89 เทียบกับระดับ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (2 ม.ค.)

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (12-16 ม.ค. 2558) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.85-33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยอาจต้องจับตาการตอบรับของนักลงทุนในช่วงต้นสัปดาห์ที่มีต่อตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งหากข้อมูลดังกล่าวยังคงให้ภาพในเชิงบวกก็อาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้น ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนธ.ค. 57 สถานการณ์การเมืองของกรีซ และการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรปอาจพิจารณาเริ่มดำเนินมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรในการประชุมวันที่ 22 ม.ค. นี้ ก็น่าจะเป็นจุดสนใจของนักลงทุนด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ประกอบด้วย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และผลสำรวจภาคการผลิต-ธุรกิจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียและเฟดสาขานิวยอร์กในเดือนม.ค. 58 รวมถึงยอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนธ.ค. 57

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ฟื้นตัวขึ้นจากความคาดหวังว่า ECB อาจจะออกมาตรการซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,529.42 จุด เพิ่มขึ้น 2.12% จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 89.01% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 45,782.47 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 738.43 จุด เพิ่มขึ้น 5.48% จากสัปดาห์ก่อน

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในวันจันทร์ จากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มแบงก์และพลังงาน ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยมีแรงซื้อหุ้นกลับจากนักลงทุน จากความคาดหวังว่า ECB อาจจะออกมาตรการซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม รวมทั้ง แรงหนุนจากบันทึกการประชุมเฟดที่แสดงถึงความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (12-16 ม.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อเก็งกำไรมาตรการซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรป ขณะที่ เครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ต้องติดตาม ได้แก่ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคาผู้บริโภค และเครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์

สาเหตุที่ทำให้คนเล่นหุ้นแบบ Trend Following ตายยาก!

ด้วยความที่ผมเป็นนักลงทุนสไตล์ Systematic Trend Following มานานพอสมควร หลายต่อหลายครั้งที่ตลาดหุ้นเป็นขาลงหรือลงแรงๆ หรือแม้แต่การประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจต่างๆจะย่ำแย่ลงนั้น ผมมักที่จะได้รับความห่วงใยจากเพื่อนฝูง, พี่น้อง, พ่อแม่ และพี่ป้าน้าอาว่าให้ระวังตลาดด้วยนะ อย่ามัวแต่เล่นหุ้นโดยไม่สนใจปัจจัยอื่นๆภายนอกอะไรเลย แน่นอนว่าผมย่อมรู้สึกยินดีที่ได้รับความห่วงใยจากทุกคนที่รู้จักเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ผมก็มักจะทนไม่ไหวที่จะต้องตอบกลับไปว่าระบบการลงทุนที่ผมใช้อยู่นั้นสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องไปสนใจปัจจัยอื่นๆนอกเหนือจากราคาหุ้นสักเท่าไหร่นัก ซึ่งผลที่มักเกิดขึ้นก็คือ ด้วยคำพูดปากปล่าวของผมเพียงอย่างเดียวมันทำให้ในหลายๆครั้งไม่มีใครเข้าใจผมสักเท่าไหร่ ดังนั้นวันนี้ผมจึงอยากจะแชร์คำตอบอย่างละเอียดที่ว่าทำไมผมและนักลงทุนตามแนวโน้มอีกหลายๆท่าน จึงน่าจะเป็นนักลงทุนที่ “ตายยาก” และอยู่ในตลาดไปได้นานอีกหลายปีกันครับ

เล่นไปตามแนวโน้มของตลาด
ความลับข้อแรกที่ทำให้โอกาสขาดทุนแบบบักโกรกจนต้องตายจากไปจากตลาดหุ้นของพวกผมนั้นน่าจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อยก็คือ ผมเล่นหุ้นตามแนวโน้มใหญ่ที่เกิดขึ้นของตลาดครับ

แล้วมันจะช่วยอะไรผมได้อย่างนั้นหรือ?
คำตอบก็เพราะปรากฎการณ์ “แนวโน้มราคา” ของตลาดหรือหุ้นนั้น เป็นปรากฎการณ์ความไร้ประสิทธิภาพของตลาดหุ้น (Market Anomaly) ซึ่งเกิดขึ้นจากพฤติกรรมและ “สันดาน” ที่ยากจะเปลี่ยนแปลงของนักลงทุนในตลาดอย่างเราๆทั้งหลาย ที่มีมาอย่างยาวนานและกว้างขวางในตลาดหุ้นหรือแม้แต่ตลาดสินทรัพย์อื่นๆทั่วโลกนั้่นเอง ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ช่วยให้นักลงทุนและกองทุนชื่อดังหลายๆคนสามารถที่จะทำกำไรเอาชนะตลาดจนร่ำรวยมหาศาลมาได้นักต่อนัก และโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยนั้น ปรากฎการณ์เหล่านี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะจบลงหรือหมดประสิทธิภาพไปอย่างง่ายๆเลย โดยที่คุณจะสังเกตุได้จากกราฟ Rolling CAGR ของระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นผลตอบแทนทบต้นตามช่วงเวลาในการคำนวณย้อนหลังจุดละ 36 เดือนหรือ 3 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันยังคงมีความเสถียรและเอาชนะดัชนี SET Index ได้อยู่ในระยะยาว
แน่นอนครับว่าแม้ในอนาคตจะไม่มีอะไรแน่นอน และปรากฎการณ์เหล่านี้ก็อาจจะลดพลังของมันลงหรือหายไปก็เป็นได้ แต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้นั้นจากงานวิจัยต่างๆหลายๆชิ้น มันก็ยังถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์รูปแบบหนึ่งที่มีความเสถียร (Robust Anomaly) และมีประสิทธิภาพในการทำกำไรชนิดหนึ่งของโลกใบนี้เลยก็ว่าได้

setlnw1-Cumulative-Return-Chart_thumb

 

ภาพที่ 1 : ภาพกราฟ Cummulative Return แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนสะสมของระบบ Trend Following ธรรมดาๆรูปแบบหนึ่งซึ่งอาศัยการทำกำไรจากแนวโน้มขนาดใหญ่ในตลาด เปรียบเทียบกับดัชนี SET Index ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเล่นหุ้นตามแนวโน้มในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยที่ภายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น จากการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) ด้วยการกำหนดเงื่อนไขอย่างเข้มงวดในระดับหนึ่ง มันได้สร้างการผลกำไรสะสมราว 25.46 เท่าเมื่อเทียบกับดัชนี SET Index ที่ 1.2 เท่า และให้ผลตอบแทนทบต้นหรือ CAGR ที่ราว 40% ต่อปี ในขณะที่ SET Index มี CAGR อยู่ที่ราว 9% เท่านั้น

setlnw2-ATH-Rolling-CAGR_thumb

 

ภาพที่ 2 : ภาพกราฟ Rolling CAGR ของระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความเสถียรของระบบการลงทุนในลักษณะนี้ โดยที่ค่าที่แสดงให้เห็นนี้เป็นค่า CAGR คำนวณย้อนหลัง 3 ปีในแต่ละจุดของเวลาเปรียบเทียบระหว่างระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่งกับดัชนี SET Index ภายในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ ค.ศ. 2005-2014

การตัดขาดทุนและถอยเพื่อรอโอกาส

การตัดขาดทุน (Cut Losses) คือกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มตายยากยิ่งขึ้น สาเหตุก็เพราะว่าพวกมันนั้นทำหน้าที่เสมือนกับ Safe-T-Cut ช่วยตัดโอกาสที่เราจะเจอกับการขาดทุนอย่างหนักจนทำให้พอร์ทโฟลิโอโดยรวมนั้น “ฟกช้ำดำเขียว” จนเน่าเฟะและยากต่อการที่จะสามารถทำกำไรกลับมาเท่าทุนได้ นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่หลายๆคนไม่เคยรู้เลยก็คือ สัญญาณการขายหรือ Exit Signal ที่เกิดขึ้นจากกลยุทธ์แบบ Trend Following นั้น มักที่จะค่อยๆทยอยเกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นโดยรวมจะเกิดการดำดิ่งลงไปอย่างนักเสียด้วย! นั่นจึงทำให้นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following ที่มีวินัยส่วนใหญ่นั้นสามารถที่จะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราจของตลาดหุ้น โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจปัจจัยอื่นๆเลยนอกจากแนวโน้มของราคาหุ้นในขณะนั้น

SETlnw3-All-Stocks-Trend_thumb

ภาพที่ 3 : ภาพกราฟ SET Index VS. Bullish Stock Composite แสดงสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในแต่ละวัน โดยที่มันได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อตลาดหรือ SET Index เริ่มย่ำแย่ลง หุ้นต่างๆในตลาดจะเริ่มมีสัญญาณขายออกมาจนทำให้แนวโน้มของหุ้นที่เป็นขาขึ้นในขณะนั้นลดลงไปเรื่อยๆโดยอัตโนมัติ ในขณะที่สัญญาณซื้อจะค่อยๆเกิดขึ้นเมื่อตลาดกลับมาดีอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้สัดส่วนของจำนวนขึ้นที่เป็นขาขึ้นนั้นสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ

SETlnw4-VS-Margin_thumb

ภาพที่ 4 : กราฟ SET Index VS. %Margin ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนมูลค่าเงินลงทุน ของพอร์ทโฟลิโอในแต่ละช่วงเวลา โดยเราจะสังเกตได้ว่าเมื่อตลาดเป็นย่ำแย่นั้น สัดส่วน %Margin ลดลงโดยอันโนมัติ ในขณะที่เมื่อตลาดค่อยๆดีขึ้น %Margin ก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติเช่นกันจากสัญญาณที่เกิดขึ้นจากระบบ

การเล่นแบบเป็นเข่ง 

ความลับที่ไม่ลับอีกอย่างของกลยุทธ์ Trend Following ที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือการเล่นแบบเป็นเข่งหรือ Portfolio Trading ครับ เนื่องจากว่ากลยุทธ์การทำกำไรตามแนวโน้มนั้น ชื่อก็บอกว่าอยู่แล้วว่าเป็นการทำกำไรตามแนวโน้ม ดังนั้นถ้าหุ้นไม่มีแนวโน้มขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันมันก็ไม่มีทางกำไร และแนวโน้มใหญ่ๆที่ว่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นไม่กี่ครั้งในหุ้นแต่ละตัวเท่านั้น (หุ้นตัวหนึ่งๆอาจมีแนวโน้มใหญ่ๆแบบ Super Trend เพียง 2-3 รอบของชีวิตเท่านั้น)

นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงหาทางออกด้วยวิธีการง่ายๆอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเฝ้ามองหุ้นเป็นตะกร้าคราวละหลายๆตัวแทนที่จะเป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัว และค่อยๆทยอยเข้าซื้อขายหุ้นคราวละน้อยๆแทน โดยมีเหตุผลเพื่อที่จะทำให้เราสามารถเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้อยู่เสมอ และไม่พลาดโอกาสในการเข้าทำกำไรไป

ด้วยความประจวบเหมาะตรงนี้เองที่ทำให้พอร์ทโฟลิโอของนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงมีลักษณะของการกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นหลายๆตัวโดยอัตโนมัติ จนทำให้ความเสี่ยงรายตัวของหุ้นที่ถืออยู่ลดลง คงเหลืออยู่แต่ความเสี่ยงของตลาดหรือ Market Risk ที่มักจะเป็นตัวกดดันให้หุ้นส่วนใหญ่วิ่งไปพร้อมๆกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากตลาดหรือ Market Risk ตรงนี้ก็จะถูกบรรเทาลงไปได้ด้วยการใช้กลไกของการ Stop Loss ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดไม่เป็นใจนั่นเองครับ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว สำหรับนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มที่มีพอรท์การลงทุนที่ใหญ่และกว้างขวางสามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์หลายๆอย่างก็ยิ่งจะได้รับผลประโยชน์จากการเล่นแบบเป็น “เข่ง” ในข้อนี้ยิ่งขึ้นไปอีก จนทำให้กองทุน Hedge Fund ประเภท Commodity Trading Advisor (CTA) ชื่อดังหลายๆกองทุนได้แจ้งเกิดในเวทีโลกกันอย่างมากมาย

SETlnw5-Indrustries-Cumulative-Returns-2011-2014_thumb

ภาพที่ 5 : ภาพกราฟ Industries Cummulative Returns ซึ่งช่วยแยกผลกำไรที่เกิดจากระบบ Trend Following ออกเป็นรายอุตสาหกรรม ทำให้เราได้เห็นว่าการมีหุ้นที่เป็น Watchlist และกระจายน้ำหนักการลงทุนไปในหลายๆอุตสาหกรรมนั้นจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากหุ้นในอุตสาหกรรมหลายๆกลุ่มอาจไม่ได้วิ่งขึ้นลงพร้อมๆกัน การมีตะกร้าหุ้นที่กว้างขวางจะช่วยเปิดโอกาสให้เราสามารถทำกำไรได้บ่อยครั้งและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

 

Note : ค่ากราฟไม่ได้เริ่มต้นจาก 0 เนื่องจากผมได้ทำการ Backtest เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 – ปัจจุบัน

การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

นอกจากที่กลยุทธ์การลงทุนตามแนวโน้มแบบ Trend Following จะช่วยทำให้เราไม่ตกรถในตลาดขาขึ้น และติดดอยในตลาดขาลงแล้วนั้น เป็นที่รู้กันดีว่ากลยุทธ์แบบ Trend Following นั้นมักที่จะให้สัญญาณการซื้อที่มีความแม่นยำค่อนข้างต่ำ (แต่ก็ช่วยชนะตลาดได้นะ 55) ดังนั้นองค์ประกอบที่สำคัญมากๆอีกอย่างหนึ่งของพวกมันก็คือการจัดการความเสี่ยงผ่านการกำหนดขนาดหรือเม็ดเงินในการลงทุนให้เหมาะสมในการซื้อขายแต่ละครั้งอยู่เสมอ (Money-Risk Management) นั่นจึงทำให้เรามักไม่เกิดการขาดทุนอย่างหนักขึ้นในการซื้อขายแต่ละครั้ง ดังนั้นเมื่อเวลาที่ตลาดเป็นขาลงหรือตลาดที่ผันผวนมากๆมาถึงแบบไม่รู้ตัวนั้น นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงมักที่จะรอดตายได้อย่างปาฎิหารย์แบบไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้

setlnw7-Drawdown-2007-2008_

ภาพที่ 6  : ภาพกราฟ Drawdown แสดงให้เห็นถึงอัตราการขาดทุนสะสมของระบบ Trend Following จากจุดสูงสุดในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี ค.ศ 2007-2008 (สีเขียว) เปรียบเทียบกับ Drawdown ของดัชนี SET Index ในขณะนั้น (สีดำ) ซึ่งทำให้เห็นว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following สามารถที่จะช่วยให้เราเอาตัวรอดไม่เจ็บตัวอย่างหนักได้เป็นอย่างดี

setlnw6-Drawdown-2014

ภาพที่ 7 : ภาพกราฟ Drawdown ของระบบเปรียบเทียบกับดัชนี SET Index ในปีล่าสุด ค.ศ. 2014 ที่พึ่งจะเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นดำดิ่งและเหวี่ยงอย่างรุนแรงในวันที่ 15-12-2014 ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลยุทธ์การเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following ก็ยังคงสามารถที่จะเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มหลายๆคนถึงยังขาดทุนจนเจ๊งล่ะ?

ก่อนจะจบบทความนี้นั้น ผมเองก็อยากจะพูดถึงคำถามที่มักจะถูกถามหลังจากที่ผมอธิบายสิ่งเหล่านี้จนจบไปเรียบร้อยแล้วอีกสักนิด โดยที่คำตอบของผมนั้นก็คงจะเหมือนกับการที่คุณถามว่า “ทำไมหลายๆคนที่เรียนบริหารธุรกิจ จึงยังทำธุรกิจจนเจ๊งขาดทุน” นั่นแหละครับ

มันยังคงมีองค์ประกอบอื่นๆในการลงทุนอีกมากมายนอกเหนือจากกลยุทธ์หรือระบบการลงทุนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นความอดทนมุ่งมั่น, ความรู้ความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์นั้นๆ, ทัศนคติในการลงทุน, วินัยในการลงทุนต่างๆ, EQ-IQ รวมไปถึงข้อจำกัดในการลงทุนของแต่ละคน หรือแม้แต่คำว่า “ดวง” อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จะส่งผลกระทบอย่างยิ่งยวดต่อผลการลงทุนแทบทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วมันจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีทั้งคนที่ยังขาดทุนจนย่อยยับ จนไล่ไปถึงคนที่สามารถจะดำรงชีพอยู่ด้วยการลงทุนในตลาดนั่นเอง

และนี่ก็คือทั้งหมดของบทความนี้ครับ ซึ่งผมหวังว่ามันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดคนที่สามารถจะลงทุนด้วยกลยุทธ์การลงทุนตามแนวโน้มอย่างมีวินัย จึงมีโอกาสที่จะขาดทุนอย่างย่อยยับค่อนข้างน้อย แม้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับสภาพตลาดที่ผันผวนสักเท่าไรนั่นเองครับ ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคน แล้วเจอกันใหม่ครับผม

mangmaoclub

สาเหตุที่ทำให้คนเล่นหุ้นแบบ Trend Following ตายยาก!

ปี 2558 SET เหวี่ยงทั้งปี “เซียน” แนะ “ใช้สติ” มากกว่า “สตางค์”

ผันผวนตลอดปี “ผู้คร่ำหวอดตลาดหุ้น” ตบเท้าแสดงความเห็นดัชนีปี 58 “สุกิจ อุดมศิริกุล” แห่ง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง

“ขึ้นแรง ลงเร็ว” ประโยคสั้นๆนี้น่าจะเหมาะกับภาวะตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 2557 หลังสถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยปกติ แต่เมื่อทุกอย่างได้รับการคลี่คลาย SET INDEX คงได้เวลาขึ้นแล้ว ความคาดหวังนี้ของเหล่านักลงทุนจะเป็นไปได้หรือไม่ “Setlnw” มีคำตอบ

“ป๋อง-สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) วิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นในปี 2558 ให้ฟังว่า แม้การเมืองจะคลายความตึงเครียดไปแล้ว แต่การที่ราคาหุ้นหลายๆ ตัวปรับตัวสูงขึ้นมากในปีก่อน ขณะที่ยังคงมีหลายปัจจัยคอยกดดันบรรยากาศ การลงทุน ฉะนั้นตลาดหุ้นไทยในปีแพะอาจมีโอกาสตกอยู่ในอาการ “ผันผวนตลอดทั้งปี”

ในช่วงไตรมาสแรกของปี ความผันผวนจะอยู่ในระดับเบาสุด แต่จะผันผวนมากขึ้นในช่วงกลางปี หรือประมาณเดือนก.ย.โดยปัจจัยต่างประเทศจะเป็นตัวแปรสำคัญ หลังประเทศสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย ฉะนั้นอาจได้เห็นเม็ดเงินต่างประเทศไหลออกจากตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่ด้วยความที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2558 อาจออกมามีกำไรที่ดี ขณะที่รัฐบาลเตรียมลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ฉะนั้นเม็ดเงินอาจไม่ไหลออกไปมากจนน่ากังวล

“ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงการปรับฐานลงในระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้นอาจมีโอกาสปรับลดลงไปอีก จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจต่างประเทศ อย่าลืมว่า วันนี้เศรษฐกิจทางฝั่งยุโรปยังไม่ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คิด จะมีแค่เศรษฐกิจของสหรัฐฯที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนเท่านั้น ขณะที่เมืองจีนและญี่ปุ่นก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย”

“สุกิจ” บอกว่า แม้ตลอดทั้งปีหุ้นไทยจะตกอยู่ในภาวะผันผวน แต่ยังคงถือเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจมากที่สุด หากเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน หลังหุ้นไทยอาจสร้างผลตอบแทนในปีนี้ที่ระดับเฉลี่ย 8 เปอร์เซ็นต์ แต่การที่สถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศไม่ค่อยสดใส เขาย้ำ อาจทำให้ดัชนีสิ้นปี 2558 มาไกลสุดแค่ 1,600-1,650 จุด ก่อนจะทะยานแตะ 1,700 จุด ในปี 2559

เมื่อถามถึง “หุ้นดาวเด่น” เขาวิเคราะห์ว่า ปีนี้น่าจะมีหุ้นโดดเด่น 3 กลุ่มหลัก นั่นคือ “กลุ่มสื่อสาร” เนื่องจากในปี 2557 หุ้นสื่อสารมีข่าวร้ายทั้งปี จากการเลื่อนประมูลโครงข่าย 4G แต่ปีนี้มีข่าวดีที่ว่า รัฐบาลอนุมัติให้เปิดประมูลโครงข่าย 4G ในเดือน ก.ค. ถือเป็นการรับอานิสงส์จาก Digital Economy

นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มวัสดุก่อสร้าง” หลังรัฐบาลมีการลงทุนในโครงการต่างๆ ขณะที่หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างหลายๆ ตัวกำไรได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนหุ้นกลุ่มสุดท้าย คือ “กลุ่มส่งออก” หลังส่งออกของเมืองไทยจะดีขึ้นกว่าปีก่อน

“จริงๆยังมีหุ้นดาวเด่นอีก 2 กลุ่ม แต่คงไม่สวยเท่า 3 กลุ่มแรก นั่นคือ 1.“กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง” แน่นอนกลุ่มนี้จะได้รับผลประโยชน์เต็มๆจากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐบาล 2.“กลุ่มอาหาร” หลังราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไป ขณะที่ผลประกอบการมีอัตราการเติบโตที่ดี”

สำหรับ “หุ้นดาวร่วง” ที่นักลงทุนให้ความสนใจลงทุนลดลงในปี 2558 น่าจะเป็น “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” เพราะยังไม่แน่ว่าการใช้จ่ายจะกลับมาจริงหรือไม่ และ “กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี” หลังราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว

“นักลงทุนที่มองการลงทุนในระยะยาว และสามารถรับความผันผวนได้ อาจใช้จังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงทยอยสะสมหุ้นดีๆ”

“นพ.บุญ วนาสิน” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ในฐานะนักลงทุนรุ่นใหญ่ วิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ปีนี้นักลงทุนยังคงต้องใช้ “ความระมัดระวังอย่างสูงในการลงทุน” เพราะตลาดหุ้นคงผันผวนตลอดปี ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่นิ่งเท่าที่ควร ขณะที่ภาคส่งออกก็ยังไม่ฟื้นตัว

นอกจากนั้นเศรษฐกิจต่างประเทศยังไม่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยุโรป โดยเฉพาะประเทศกรีซ ที่จะมีการเลือกตั้งภายในสิ้นเดือนม.ค.นี้ หากกรีซต้องออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มยูโรจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโรให้ลดลงไปอีก ขณะที่เศรษฐกิจประเทศจีนก็ยังคงชะลอตัว

“สิ้นปีนี้ดัชนีน่าจะมาสุดทางแค่ 1,450-1,550 จุด”

เมื่อถึงนโยบายการลงทุนในปี 2558 “หมอบุญ” เล่าว่า ตลาดหุ้นผันผวนเช่นนี้ ทำให้จำเป็นต้องปรับลดพอร์ตหุ้นไทยเหลือเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ แต่จะเน้นเก็บเป็นเงินสดมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ แตกต่างจากปีก่อนที่ลงหุ้นมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และถือเงินสด 40 เปอร์เซ็นต์

“ปีนี้คงต้องลงทุนในหุ้นที่มีความปลอดภัยเป็นหลัก เน้นกลุ่มพื้นฐานดี ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดมากๆ ส่วนหุ้นปั่น หุ้นเก็งกำไร ไม่เข้าไปเล่นแน่นอน หุ้นพวกนี้เสี่ยง”

“หมอบุญ” แนะนำว่า กลุ่มที่ยังสามารถเข้าลงทุนได้น่าจะเป็น 1.“กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง” เพราะจะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐบาล 2.“กลุ่มโรงพยาบาล” ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรคนยังต้องใช้บริการ ส่วน “หุ้นหลีกเลี่ยง” คือ “กลุ่มธนาคาร-พลังงาน-อสังหาริมทรัพย์”

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย (วีไอ) เล่ามุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้่ว่า ส่วนตัวเริ่มรู้สึกว่า “เสน่ห์ลดลง” เนื่องจากราคาหุ้นหลายตัวไม่ถูกแล้ว หากย้อนกลับไปดูจะพบว่า แม้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะออกมาไม่สดใส แต่หุ้นหลายตัวแพงเกินพื้นฐานที่แท้จริง

“หุ้นพลังงานปีนี้คงไม่ค่อยสวย หลังราคาน้ำมันลงเร็ว”

เขา วิเคราะห์ว่า แม้ภาพรวมตลาดหุ้นจะออกแนวผันผวน แต่น่าจะมีทิศทางที่ดีกว่าปลายปีก่อน ฉะนั้นหากนักลงทุนเลือกหุ้นที่ดีและมีความปลอดภัย ก็ยังพอจะถือยาวๆได้ เพียงแต่ต้องดูรายละเอียดของธุรกิจดีๆ ยกตัวอย่างเช่น “หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค” แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันยังต้องเกิดขึ้น

ปัจจัยบวกที่จะเข้ามาผลักดันดัชนี คือ ข้อ1.ทิศทางดอกเบี้ยของไทยที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงกลางปี 2558 ข้อ 2.การฟื้นตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนภายในปีนี้ จากฐานที่ต่ำในปี 2557 และข้อ 3.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่คาดว่าจะออกมาเร็วๆนี้

“ตลาดหุ้นปีก่อน ถือเป็นปีที่ลงทุนแบบ “ไม่สบายตัว” ซึ่งความรู้สึกนั้นน่าจะยังคงต่อเนื่องมาจนถึงปี 2558″

“เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์” นักลงทุนไซด์ใหญ่ มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยว่า นักลงทุนยังคงต้องใช้ “ความระมัดระวัง” เนื่องจากมีหลายปัจจัยคอยกดดัน บรรยากาศในการรลงทุน โดยในช่วงกลางปีนี้อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ หลังสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ฉะนั้นอาจเห็นเงินนอกไหลออกจากหุ้นไทย

“นักลงทุนควร “หลีกเลี่ยง” ลงทุนในหุ้นที่มีค่า P/E สูงๆ เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ที่มีปัจจัยลบ อาจทำให้นักลงทุนบางรายเลือกที่จะขายหุ้น P/E สูงออกจากพอร์ตก่อน”

ส่วนตัวได้มีการปรับพอร์ตลงทุนลงมากระดับหนึ่งแล้ว ปัจจุบันเหลือมูลค่าการลงทุนเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมลงทุนในหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ โดยได้หันไปกระจายความเสี่ยง ด้วยการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แทน แต่คงไม่ลดน้ำหนักไปมากกว่านี้ แต่จะรอจังหวะซื้อหุ้นเพิ่มมากกว่า

ถามว่ากลุ่มไหนน่าสนใจ เขาย้ำว่า ควรเลือกหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐบาล เช่น “กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง” หรือเน้นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“มาตรการดูแลหุ้นเก็งกำไรของตลาดหลักทรัพยถือเป็นเรื่องที่ดี น่าจะช่วยลด “ความร้อนแรง” ของหุ้นเก็งกำไรได้มาก และจะช่วยทำให้นักลงทุนได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น”

“เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน วิเคราะห์ในทิศทางเดียวกันว่า ตลาดหุ้นปีนี้ผันผวนแน่นอน หุ้นหลายตัวแพงเกินจริง แต่ยังพอลงทุนได้ เพียงแต่ต้องเลือกตัวที่มีพื้นฐานดีๆ มีกระแสเงินสดที่ดี ธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง และราคาหุ้นไม่แพงเกินไป

“หุ้นในตลาดตอนนี้มีราคาแพงมาก หลังถูกนักลงทุนลากราคาขึ้นไปค่อนข้างสูง ซึ่งหุ้นเหล่านี้ส่วนตัวจะไม่เข้าไปลงทุน แต่เชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไประดับสูงๆ จะลดระดับลงมาอยู่พื้นฐานที่แท้จริง”

สำหรับนโยบายการลงทุน แน่นอนปีนี้คงลดพอร์ตการลงทุนเหลือ 80-90 เปอร์เซ็นต์ และยังคงลงทุนในหุ้นตัวเดิมๆ เหมือนปีก่อน อาทิ หุ้น เซ็ปเป้ หรือ SAPPE และหุ้น ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 หรือ SAWAD ส่วนตัวเชื่อว่าราคาจะไปไกลกว่านี้ นอกจากนั้นยังหาโอกาสลงทุนเพิ่มในหุ้น ทรัพย์ศรีไทย หรือ SST และหุ้น เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ หรือ WORK ที่มีต้นทุน 20 บาท

“กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากนโยบาบของทางภาครัฐยังน่าสนใจ โดยเฉพาะ “กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง” อย่างหุ้น ช.การช่าง หรือ CK และหุ้น รถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BMCL เพราะมีแนวโน้มว่า งานโครงการรถไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้น”

ปิดท้ายด้วยคำนายของ “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เซียนหุ้นด้านเทคนิค มองว่า ก่อนตลาดหุ้นลดลงเกือบ 138 จุด (วันที่ 15 ธ.ค.2557) ส่วนตัวเคยมองดัชนีปีนี้ระดับ 1,700-1,800 จุด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้คิดว่าคงไปได้ไกลแค่ 1,650 จุด

ปีนี้ดวงชะตาของผมชง “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เพราะเกิดปีฉลู ทำให้มีคนเตือนบ่อยๆ เรื่องการลงทุน ฉะนั้นจึงเลือกลดพอร์ตลงทุนเล็กน้อย แต่ไม่ได้คิดเลิกเป็นนักลงทุน (หัวเราะ) รวมทั้งยังจะเลิกเล่นมาร์จิ้นถาวร ดังนั้นกลยุทธ์ปีนี้จะเน้นเล่นสั้นเหมือนเดิม แต่จะลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่มีสภาพคล่องสูงๆ

“ตลาดหุ้นยังเป็นแหล่งหาเงินได้ดีเสมอ หุ้นซื้อได้ทุกวัน แต่ต้องเลือกเวลาและจังหวะให้เหมาะสม”

เขา แนะนำว่า กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากนโยบายต่างๆของทางภาครัฐยังคงน่าสนใจ โดยเฉพาะรับเหมาก่อสร้าง และค้าปลีก เพราะเมื่อรัฐใช้เงินจะมีการกระตุ้นการใช้จ่ายแน่นอน ขณะเดียวกันกลุ่มพลังงานทดแทนก็น่าสนใจ หลังรัฐกำลังจะออกใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งกลุ่มธนาคารก็น่าลงทุน เพราะคงได้ผลดีจากการปล่อยเงินกู้ให้เอกชน

สำหรับกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนคงจะเป็น “กลุ่มพลังงาน” เนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดลงเยอะมาก ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักออกมามองว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานน่าจะ “ขาดทุน” หรือ “กำไรลดลง” เพราะต่อให้ราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมายืนอยู่ที่ 90 เหรียญต่อบาร์เรล กว่าจะรับรู้รายได้ก็ล่วงเลยไปไตรมาส 2 แล้ว

SET แกว่งตัวไร้ทิศทาง

แนวโน้มวันนี้เป็นกลาง มองกรอบเคลื่อนไหว 1,520 – 1,538 จุด

SET มีโอกาสรีบาวน์ขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมบริเวณ 1538 จุด แต่คาดยังไม่ผ่าน การปรับขึ้นของ SET ต่อเนื่อง 3 วันทำการเกิดจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันเกือบ 8 พันล้านบาทในหุ้นกลุ่มนำตลาดที่มีผลต่อ SET มาก สูงกว่าสถิติที่นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิในเดือนม.ค.ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพียง 1.5-4.1 พันล้านบาท จึงมีโอกาสกลับมาขายทำกำไรในช่วงที่เหลือของเดือน ส่วนนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิ 870 ล้านบาทเมื่อวันศุกร์ ยืนยันมุมมองว่านักลงทุนต่างชาติยังไม่เพิ่มพอร์ตในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ ขณะที่การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มธนาคารเริ่มไม่เป็นเอกภาพบ่งบอกถึงการสลับตัวเล่น จึงอนุมานได้ว่าการปรับขึ้นของ SET คราวนี้เป็นเพียงการรีบาวน์ทางเทคนิค และควรระวังแรงขายทำกำไรจากนี้ไป ทางเทคนิค SET กำลังรีบาวน์ขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมบริเวณ 1538 จุด หากผ่านไปได้จะกลับสู่แนวโน้มขาขึ้น แม้ผ่านขึ้นไปยังติดแนวต้านบริเวณ 1550 จุด (ระดับ 23.6% Fibonacci และ Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 11 ธ.ค.) อยู่ดี เราจึงไม่คาดหมายการกลับสู่ทิศทางขาขึ้นในสัปดาห์นี้

กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรระยะ 1-2 วัน เลือกตัวเล่น ทยอยขายบางส่วนเมื่อ SET ปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านบริเวณ 1538 จุด หาก SET ปิดต่ำกว่า 1520 จุด กลับมาถือครองเงินสด การปรับขึ้นของ SET ควรเป็นจังหวะทยอยขายทำกำไรหุ้นกลุ่มนำตลาดมูลค่าตลาดสูง เช่นกลุ่มพลังงานและธนาคารขนาดใหญ่ที่ปรับขึ้นมาแล้ว และหันไปให้ความสนใจหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมถึง Laggard play แทน

Top Daily Pick : HEMRAJ (เกิด Synergies หากการซื้อกิจการโดย WHA สำเร็จ และราคาเข้าซื้อที่ 4.5 บาทสูงกว่าราคาตลาดช่วยจำกัด downside ขณะที่ธุรกิจหลักขายที่ดินมีแนวโน้มฟื้นตัวในปีนี้) /THAI (ผลการดำเนินงานมีโอกาสฟื้นตัวจากการปรับโครงสร้างธุรกิจหลังมี DD ใหม่เข้ามา)

Technical Pick: TRUE IFEC ACD RICH BANPU

Theme Play : หุ้นกลุ่มที่มีโมเมนตัมดี (FVC ROJNA BECL TISCO IFEC SAMTEL HOTPOT CFRESH) ที่ outperform ตลาดได้สองสัปดาห์ต่อเนื่อง Laggard play (ADVANC BANPU LH) /กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยปันผลเด่น (AP QH SIRI) /หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร/ความงามที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ (BEAUTY M MC SST)

รายงานวันนี้

Update (Reinitiate) : ADVANC (ซื้อ / มูลค่าเหมาะสม 309 บาท) ประสิทธิภาพในการทำกำไรโดดเด่น ปันผลสูง

Strategy Talk

กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ (12-16 มกราคม)

•แนวโน้ม สัปดาห์นี้คาด SET แกว่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้านแถว 1538-1550 จุดแล้วพัก มองกรอบเคลื่อนไหว 1500-1550 จุด การปรับขึ้นสัปดาห์ก่อนเกิดจากเม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก ซึ่งโดยสถิติมีโอกาสถูกขายทำกำไรช่วงที่เหลือของเดือนนี้ ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ยังเป็นขาลงยังไม่สนับสนุนหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้นมารอ ขณะเดียวกันการทยอยประกาศงบปี 57 ของหุ้นกลุ่มธนาคารตั้งแต่กลางสัปดาห์นี้เสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร (Sell-On-Fact) ทางเทคนิค SET กำลังปรับขึ้นทดสอบแนวต้านแถว 1538 และ 1550 จุด หากผ่าน 1538 จุด ขึ้นไปได้จะกลับสู่ทิศทางขาขึ้น แต่เนื่องจากมีแนวต้านแถว 1550 จุด จ่ออยู่ เชื่อว่าจะต้องกลับลงมาสร้างฐานใต้ 1538 จุดอีกครั้ง

•ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม (1) ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันสัปดาห์ก่อนซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 6 พันล้านบาท และมียอดซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2 พันล้านบาท ซึ่งสถิติ 3 ปีย้อนหลังซื้อสุทธิเพียง 1-4 พันล้านบาทในเดือนม.ค. (2) ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หากยังคงแข็งค่าขึ้นจะไม่สนับสนุนเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติ (3) ทิศทางราคาน้ำมันดิบ ล่าสุด Brent ยังคงปรับลงทำจุดต่ำสุดแถว US$48 ต่อบาร์เรล แม้จะสามารถรีบาวด์ระหว่างสัปดาห์ แต่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานหลายตัวปรับขึ้นมารอแล้ว (4) การทยอยประกาศผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์นี้โดยเริ่มเห็นจากธนาคารขนาดเล็กก่อน คาดจะยังสะท้อนเศรษฐกิจปี 57 ที่อ่อนแอ (5) ทิศทางค่าเงินรูเบิลของรัสเซีย หลังสถาบันจัดอันดับเครดิต Fitch ได้ปรับลดอันดับเครดิตพันธบัตรรัสเซียถูกปรับลดอันดับเครดิตลงสู่ระดับ BBB- เมื่อวันศุกร์ อันดับต่ำสุดที่สามารถลงทุนได้ อาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้า-ออกในภูมิภาค

•กลยุทธ์การลงทุน

สำหรับการลงทุนระยะสั้น ทยอยขายทำกำไรเมื่อ SET ปรับขึ้นใกล้แนวต้านแถว 1538-1550 จุด สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก หาก SET ปรับตัวลงมาแต่ไม่หลุด 1520 จุด หาจังหวะเลือกเก็งกำไร หุ้นกลุ่มที่มีโมเมนตัมดี (FVC ROJNA BECL TISCO IFEC SAMTEL HOTPOT CFRESH) ที่ outperform ตลาดได้สองสัปดาห์ต่อเนื่อง Laggard play (ADVANC BANPU LH) /กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยปันผลเด่น (AP QH SIRI) /หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร/ความงามที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ (BEAUTY M MC SST)

สำหรับการลงทุนระยะปานกลาง-ยาว ถือครองหุ้นต่อ จังหวะสะสมเพิ่มเกิดขึ้นหาก SET ปรับลดต่ำกว่า 1460 จุด หากยังไม่มีหุ้นอาจทยอยสะสมบางส่วนได้หากราคาหุ้นปรับตัวลงแรง กลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มสายการบิน (NOK) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงถูกลงและเข้าช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหนุนยอดผู้โดยสารระยะสั้น /หุ้นขนาดกลาง-เล็ก (MODERN MFEC SIM SYMC) มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว มี upside และ ปันผลสูงปลอดภัยต่อการลงทุนในภาวะตลาดผันผวน (CPALL M ROBINS) เป็นกลุ่มที่ผลประกอบการจะพลิกฟื้นในปี 58 ตามเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว /ทีวีดิจิทัลที่ Laggard กลุ่ม (GRAMMY) /หุ้นเด่นปี 58 (ADVANC CK GRAMMY HEMRAJ KAMART SNC SPALI TOP)