สวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ในปีนี้เราเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดหุ้นจะมีการเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญหลาย ๆ อย่างที่ต้องติดตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1.การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสที่เงินจะไหลกลับไปที่สหรัฐอเมริกา
2.การทำ Public QE ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพิ่มเติมจากมาตรการที่ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น TLTROs (Targeted Longer-Term Refinancing Operations) การเข้าซื้อ Covered Bonds (ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อคุณภาพดีหนุนหลัง) และ Asset-Backed Securities (ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หนุนหลัง) เพื่อทำให้งบดุลของ ECB เพิ่มเป็น 3 ล้านล้านยูโร และลดปัญหาเงินฝืด
3.การปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมัน ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตน้ำมันในอเมริกา รัสเซีย และตะวันออกกลาง แต่ส่งผลดีต่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน และประเทศที่เน้นการผลิต เนื่องจากทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง
4.ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของรัสเซีย การอ่อนค่าของเงินรูเบิล อาจทำให้รัสเซียมีปัญหาการชำระหนี้ได้ ซึ่งอาจกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้น
ทางทิสโก้เวลธ์มองว่าถึงแม้จะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนรออยู่ข้างหน้า แต่ยังมีประเทศที่ได้รับผลดีจากปัจจัยบวก และได้รับผล กระทบไม่มากนักจากปัจจัยลบข้างต้น ดังนี้
สหรัฐอเมริกา-เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 2558 คาดว่า GDP เติบโตประมาณ 3% โดยอัตราการว่างงานปัจจุบันปรับตัวลดลงมาที่ 5.8% จาก 6.7% ตอน ม.ค.ปี 2557 รวมทั้งราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ปรับตัวลง ทำให้การบริโภคมีการขยายตัวมากขึ้น (การบริโภคเป็น 70% ของ GDP) และรัฐบาลมีแผนที่จะออกมาตรการลดภาษีนิติบุคคล และลดภาษีในการนำเงินกลับประเทศ กอปรกับการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยผลักดันให้มีเงินไหลกลับมาลงทุนในอเมริกามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้น S&P500 ปรับเพิ่มขึ้นได้ เมื่อพิจารณา Forward P/E ปี 2015 อยู่ที่ 16x ถือว่าแพงเล็กน้อย ดังนั้นจึงแนะนำให้เริ่มซื้อลงทุนเมื่อดัชนี S&P500 ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 2,000 จุด (Target 2,200 จุด)
จีน-ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีเป้าหมายปฏิรูปประเทศโดยลดการพึ่งพิงการส่งออก เน้นการบริโภคภายในประเทศ ลดการคอร์รัปชั่น และพยายามควบคุมปัญหาเรื่องธนาคารเงา ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจของจีนในปี 2558 จะเติบโตประมาณ 7% นอกจากนั้นจากการที่น้ำมันราคาลดลงจะช่วยให้จีนมีต้นทุนผลิตต่ำลง เงินเฟ้อลดลง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจีนสามารถใช้นโยบายการเงินเพิ่มเติม เช่น การลดดอกเบี้ย (ล่าสุดเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปีลง 0.25% เหลือ 2.75% และลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.4% เหลือ 5.6%) หรือนโยบายการคลังอื่น ๆ กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ รวมทั้ง Forward P/E ของ H-Share ปี 2015 ของจีนอยู่ที่ 8 เท่าเท่านั้น ซึ่งนับว่าถูกมาก
กลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ได้แก่ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้-เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มนี้พึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นการที่เศรษฐกิจประเทศอเมริกา และจีนเติบโต และเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่า ย่อมส่งผลให้การส่งออกของกลุ่มประเทศเหล่านี้เติบโตไปด้วย (3 ประเทศนี้ส่งออกไปจีน และสหรัฐมากเป็นอันดับ 1 และ 2) นอกจากนั้นการที่น้ำมันถูกลงจะทำให้ไต้หวัน และเกาหลีใต้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง รวมทั้งถ้ายุโรปมีการทำ QE เพิ่มเติมก็จะมีเงินบางส่วนไหลเข้าประเทศในกลุ่มนี้ เนื่องจาก P/E ของตลาดหุ้นกลุ่มนี้ยังถูกอยู่ที่ประมาณ 10 เท่าเท่านั้น
ไทย-ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2558 จะเติบโตประมาณ 4% ซึ่งจะขับเคลื่อนโดยการลงทุนภาครัฐ การส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้การบริโภคค่อย ๆ ฟื้นตัวตามมาตามรายรับที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงปลายปี 2557 ต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์แรกของปี 2558 ตลาดปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด จากที่เคยขึ้นไปแตะที่ 1,600 จุด จากการปรับลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน แรงขายของ LTF และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ (ปี 2556 ขายสุทธิ 193,911 ล้านบาท ปี 2557 ขายสุทธิ 36,584 ล้านบาท) เราจึงมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปซื้อลงทุนในช่วงดัชนีต่ำกว่า 1,500 จุด เนื่องจากมี Upside มากกว่า 10%
จากที่กล่าวมาทั้งหมดคือปัจจัยที่ต้องติดตามตลอดปี 2558 และเรามองว่าประเทศอเมริกา จีน เอเชียเหนือ และไทย ยังเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีได้