หุ้น 10 เด้งในทศวรรษหน้า

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมในระยะสั้นนั้นอาจจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรนักต่อหุ้นหรือการลงทุนในสายตาของ VI หรือคนที่ลงทุนระยะยาว  แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมในระยะยาวนั้นผมคิดว่าเราต้องติดตามให้ดี  เพราะสภาวะเศรษฐกิจและสังคมหรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปนั้น  ย่อมทำให้ความต้องการสินค้าและบริการของคนเปลี่ยนไป  บริษัทหรือกิจการที่เคยรุ่งเรืองอาจจะถดถอยลง  บริษัทใหม่หรือบริษัทเดิมที่ยังไม่สำคัญอาจจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกิจการที่ยิ่งใหญ่  และนั่นก็ทำให้หุ้นของบริษัทเหล่านั้นกลายเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก”  คือเป็นหุ้นที่จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องยาวนานประมาณว่าเป็น 10 เท่า ในเวลา 10 ปี

          บทเรียนเรื่องหุ้นกลุ่มที่ทำได้ดีเป็นช่วงเวลาประมาณ 10 ปี นั้น  ถ้าดูจากตลาดหุ้นอเมริกาก็จะพบว่ามันเกิดขึ้นมาตลอด เช่น ในช่วงทศวรรษที่ 70 หรือตั้งแต่ปี 1970 ถึง 1980 นั้น  หุ้นกลุ่มที่เติบโตโดดเด่นมากและทุกคนต่างก็เข้ามาลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ดีมากก็คือหุ้นที่เรียกว่า  “Nifty Fifty” หรือหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตสูงอย่างเช่นหุ้น IBM  หุ้น GM อะไรทำนองนี้  หุ้นเหล่านี้มักมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ถ้ามีการปรับตัวลงซักพักก็จะขึ้นใหม่  ทุกคนเชื่อว่ามันเป็นหุ้น  “ทางเดียว” คือมีแต่จะปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  และมีความมั่นคงสูง  “ซื้อแล้วไม่ต้องขาย”  แต่แล้ว  พอถึงปลายทศวรรษ  คนที่เข้าไปลงทุนก็  “เจ๊ง”  เพราะการเติบโตของมันคงเริ่มสะดุดและราคาของมันขึ้นไปสูงมากเกินไป  ทศวรรษที่ 80 ตามมาด้วยหุ้นน้ำมันที่ราคาของน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้นมโหฬารทำให้หุ้นน้ำมันกลายเป็น “พระเอก” ไป  “10 ปี”  แต่หลังจากที่ราคาน้ำมันถดถอยลงหุ้นก็ “ลงเหว”  และสิ่งที่ตามมาก็คือในทศวรรษที่ 90 ที่หุ้นเกี่ยวกับยาและสินค้าไฮเทคเริ่มเป็นกระแสใหม่ของโลกที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ “ลงมาสู่ประชาชนทั่วไป”  ดังนั้นทศวรรษที่ 90 จึงเป็นของหุ้นไฮเทค  แต่พอขึ้นสหัสวรรษใหม่ปี 2000 “ฟองสบู่” หุ้นไฮเทคก็  “แตก”  คนที่ร่ำรวยจากหุ้นเหล่านั้นหลายคนก็  “เจ๊ง”  ทศวรรษใหม่ที่ตามมาเราได้เห็นโลก “เปลี่ยนแปลง” อย่างสำคัญอีกครั้งนั่นก็คือการก้าวขึ้นมาของประเทศกำลังพัฒนาที่มีคนมาก เช่นจีนและกลุ่ม BRIC ที่ต้องการวัตถุดิบมหาศาลและนี่นำมาซึ่งการ “บูม” ของสินค้าโภคภัณฑ์ และล่าสุดทศวรรษ 10 นี้ก็อาจจะเป็นหุ้นของสังคมข้อมูลออนไลน์ก็ได้

           ตลาดหุ้นไทยเองนั้น  ในอดีตเราก็ผ่านช่วงเวลา “10 ปี” ของความรุ่งเรืองของหุ้นแต่ละกลุ่มมาแล้ว  โดยที่ 10 ปีสุดท้ายถึงวันนี้ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาทองของกลุ่ม “ผู้บริโภค”  ซึ่งส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาโดดเด่นมากกลายเป็นหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก” ราคาหรือมูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 เท่าในช่วงเวลา 10 ปี  นี่คงเป็นผลจากการที่คนไทยมีรายได้ต่อหัวถึงจุดที่สามารถบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพสูงในปริมาณที่มากขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวและทำให้บริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็น  “ผู้ชนะ”  สามารถสร้างรายได้และผลกำไรมหาศาลซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปเร็วและต่อเนื่องติดต่อกันมานานหลาย ๆ  ปี จนถึงปัจจุบัน    แต่อนาคตอีก 10 ปีหรือในทศวรรษหน้า  หุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกแล้วในวันนี้จะยังคงเติบโตต่อไปอีก 10 เท่าในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือไม่?  และถ้าไม่ใช่หุ้นในกลุ่มไหนหรือตัวไหนจะมีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น?  นี่คือคำถามที่นักลงทุนคงอยากรู้

           ก่อนที่จะเข้าประเด็นเรื่องการวิเคราะห์ทางด้านคุณภาพเรามาดูตัวเลขว่า “หุ้น 10 เด้ง ใน 10 ปี” นั้นจะต้องเป็นอย่างไร?  ประการแรกเลยก็คือ  หุ้นตัวนั้นจะต้องให้ผลตอบแทนหรือมีราคารวมปันผลปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นปีละอย่างน้อยประมาณ 26 % ขึ้นไปเป็นเวลาติดต่อกัน 10 ปี  ฟังดูอาจจะไม่สูงสำหรับหุ้นหลายตัวที่อาจจะปรับตัวขึ้นเป็น 100%  ในเวลาอันสั้นไม่กี่วันหรือเดือน  แต่ประเด็นก็คือ  หุ้นเหล่านั้นมักจะดีแต่ในช่วงสั้น ๆ  หุ้นที่ปรับตัวยาวติดต่อกันปีแล้วปีเล่านั้นมักจะหาได้ยาก

           ข้อที่สองของตัวเลขก็คือ  ถ้าราคาจะปรับตัวขึ้นปีละ 26% กำไรของบริษัทก็ควรจะต้องปรับตัวขึ้นอย่างน้อยปีละ 26% แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปีด้วย  แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับกิจการขนาดใหญ่ที่จะเติบโตได้ในอัตราขนาดนั้น  ดังนั้น  สำหรับหุ้น 10 เด้งใน 10 ปี ที่เกิดขึ้นแล้วในตลาดหุ้นไทย  ส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะมีกำไรแบบทบต้นไม่ถึง 26% ต่อปี  แต่โตขึ้นเช่นเพียง 17%-18% ขึ้นไปเท่านั้นซึ่งทำให้ราคาหุ้นควรจะขึ้นไปเป็นเพียง 5 เท่าในเวลา 10 ปี  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความนิยมของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น  ทำให้ค่า PE ของหุ้นถูกปรับขึ้นเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้นซึ่งทำให้ราคาหุ้นที่ควรขึ้นไป 5 เท่า  กลายเป็นเพิ่มขึ้นไป 10 เท่าและกลายเป็นหุ้น 10 เด้ง   ตัวอย่างก็เช่น หุ้นในกลุ่มค้าปลีกนั้น  ถ้าดูเมื่อ 10 ปีที่แล้วจะพบว่าไม่ค่อยมีใครสนใจ  ค่า PE ของหุ้นจึงเป็นแค่ 10 เท่าต้น ๆ  แต่ถึงปัจจุบันค่า PE กลายเป็นกว่า 20 เท่า   เช่นเดียวกับหุ้นโรงพยาบาลที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในปัจจุบันนั้น  เมื่อ 10 ปีที่แล้วไม่มีนักลงทุนคนไหนสนใจ  ค่า PE จึงค่อนข้างต่ำอย่างมากก็ 10 กว่าเท่า  แต่ในปัจจุบันก็มีค่า PE หลายสิบเท่า

           การวิเคราะห์เชิงคุณภาพของหุ้น 10 เด้งในอีก 10 ปี ข้างหน้านั้น  ผมคิดว่าน่าจะคล้าย ๆ  กับหุ้น 10 เด้งในอดีต  นั่นก็คือ  ข้อแรก  มันควรเป็นหุ้นที่อยู่ใน “เทรนด์”  ของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่จะเติบโตเร็วต่อไปในอนาคตอย่างน้อย 5-6 ปี ขึ้นไป  ข้อสอง  มันควรจะเป็นหุ้นของผู้ชนะเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง  และถ้าจะให้ดีต้องเหนือกว่าอันดับสองมาก  ข้อสาม  การชนะของบริษัทจะก่อให้เกิดความได้เปรียบในด้านของการแข่งขันอย่างถาวร  เช่น  ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนเนื่องจากขนาดของบริษัทที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมาก  หรือการชนะทำให้ชื่อเสียงหรือแบรนด์เนมของสินค้าเป็นที่ยอมรับว่าเหนือกว่ารายอื่นอย่างชัดเจน เป็นต้น  ข้อที่สี่  หุ้นที่จะเป็นซุปเปอร์สต็อกนั้น  ควรที่จะเป็นกิจการที่ไม่ต้องลงทุนในการขยายงานสูงและเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีถึงดีมาก  และสุดท้ายก็คือ  ขนาดของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจนั้นจะต้องใหญ่พอที่จะรองรับการขยายตัวของบริษัทที่จะโตขึ้นอีก 10 เท่าได้

           จากเงื่อนไขต่าง ๆ  ที่กล่าวข้างต้นก็จะพบว่าผมไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวไหนหรือกลุ่มไหนจะเป็นหุ้น 10 เด้งในทศวรรษหน้า  สิ่งที่บอกได้ก็คือ  หุ้นแบบไหนหรือกิจการแบบไหนจะไม่สามารถเป็นหุ้น 10 เด้งได้มากกว่า  ยกตัวอย่างง่าย ๆ  ก็คือ หุ้นที่เป็นหุ้น 10 เด้งแล้วในปัจจุบันอย่างหุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่ทั้งหลายนั้น  ผมคิดว่าไม่สามารถเป็นหุ้น 10 เด้งในอนาคต  เหตุเพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้น  มูลค่าหุ้นของมันจะต้องสูงจนแทบจะ  “กลืนกิน”  อุตสาหกรรมทั้งหมดซึ่งไม่น่าเป็นไปได้   หุ้นกลุ่มที่กำลังร้อนแรงมากและเข้าข่ายว่าอาจจะเป็นธุรกิจที่จะเติบโตไปได้อีกหลาย ๆ  ปี เช่น  หุ้นพลังงานทดแทนแนว  “โซลาร์ฟาร์ม”  นั้น  ผมก็คิดว่ายากที่จะเป็นซุปเปอร์สต็อกเนื่องจากมันเป็นกิจการที่ต้องลงทุนสูงถ้าจะโต  นอกจากนั้น  มันยังยากที่จะหาผู้ชนะจริง ๆ  เนื่องจากทุกวันนี้อุตสาหกรรมจริง ๆ  ยังไม่ได้มีการแข่งขันแต่เป็นเรื่องที่ยังต้องการการสนับสนุนจากรัฐเพื่อที่จะอยู่รอด

ก่อนที่จะจบบทความนี้  ผมคงต้องบอกว่าสิ่งที่ผมพูดนั้น  เป็นเรื่องของ “พื้นฐาน”  ของกิจการที่   จะส่งผลให้หุ้นมีโอกาสกลายเป็นหุ้น 10 เด้งใน 10 ปี  สำหรับหุ้นขนาดพอสมควรที่เน้นในด้านของการเติบโตของธุรกิจตามปกติ  แน่นอน  หุ้นขนาดเล็กหรือขนาดจิ๋วที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่และกลายเป็นหุ้น 10 เด้งนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาและไม่สามารถกำหนดเป็นเกณฑ์ได้  เช่นเดียวกับหุ้น Turnaround หรือหุ้นฟื้นตัว  หรือหุ้น Cyclical หรือหุ้นวัฏจักร  เหล่านี้ก็มีโอกาสเป็นหุ้น 10 เด้งได้  แต่ความเสี่ยงในการลงทุนก็สูงและผมเองก็ไม่มีความสามารถจะกำหนดตัวได้  ว่าที่จริง  แม้แต่หุ้น 10 เด้งในอดีตที่ผมได้ลงทุนมาหลาย ๆ  ตัวนั้น  ตอนที่เริ่มลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นหุ้น 10 เด้ง  เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว  โดยที่โชคดีที่ผมไม่ได้ขายมัน  ผมถึงได้รู้ว่ามันเป็นหุ้น 10 เด้งที่ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง  ถึงนาทีนี้ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะได้หุ้น 10 เด้งในจำนวนเหมือนเดิม  เหตุผลง่ายที่สุดก็คือ  หุ้นที่ผมถือในปัจจุบันต่างก็เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่คงไม่สามารถโตได้ขนาดนั้นใน 10 ปี

CR. ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากุล

หุ้น 10 เด้งในทศวรรษหน้า

การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมในระยะสั้นนั้นอาจจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรนักต่อหุ้นหรือการลงทุนในสายตาของ VI หรือคนที่ลงทุนระยะยาว  แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมในระยะยาวนั้นผมคิดว่าเราต้องติดตามให้ดี  เพราะสภาวะเศรษฐกิจและสังคมหรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปนั้น  ย่อมทำให้ความต้องการสินค้าและบริการของคนเปลี่ยนไป  บริษัทหรือกิจการที่เคยรุ่งเรืองอาจจะถดถอยลง  บริษัทใหม่หรือบริษัทเดิมที่ยังไม่สำคัญอาจจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกิจการที่ยิ่งใหญ่  และนั่นก็ทำให้หุ้นของบริษัทเหล่านั้นกลายเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก”  คือเป็นหุ้นที่จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องยาวนานประมาณว่าเป็น 10 เท่า ในเวลา 10 ปี อ่านเพิ่มเติม