สิงคโปร์-จีนรับมือ เสี่ยงสงครามค่าเงิน

เป็นที่รู้กันว่า ภายใต้สถานการณ์ที่สงครามค่าเงิน ที่กำลังเข้มข้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำนโยบาย QE

(Quantitative Easing) ของ 4 ธนาคารกลางหลักของโลก โดยล่าสุดธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB (EuropeanCentral Bank) ประกาศอัดฉีดเงินเดือนละ 60,000 ล้านยูโร หรือ 70,000 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในกลุ่มประเทศยูโรโซน ที่ประสบทั้งปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ และปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เป็นผลมาจากภาวะเงินฝืด รวมถึงการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินภาคธุรกิจที่มีขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี และลูกหนี้ของระบบธนาคาร เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานถึง 19 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.-ก.ย. 2559 ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางอังกฤษ แม้ได้หยุดทำ QE ใหม่ๆ แต่ยังพบว่า QE ก่อนหน้านี้ยังคงตกค้างอยู่ในระบบการเงินโลกรวมกันเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์

กรณีวิกฤติในยุโรปนับเป็นเม็ดเงินก้อนมหึมาที่ ECB ต้องใช้ในการดำเนินการ QE รอบนี้ถึง 1.14 ล้านล้านยูโร หรือราว 1.4ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซน โดยตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ต่อปี ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ (Bank of Japan) ที่กำลังทำ QE ในวงเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ที่จะครบกำหนด 2 ปี ตามเป้าหมายในเดือนก.พ.นี้ พร้อมกับการประกาศอัดฉีดเงินเพิ่มในปริมาณเงินอีกเดือนละ 20 ล้านล้านเยน โดยที่ BOJ ได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นทั้ง 100% หวังให้รัฐบาลนำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดันหลุดจากภาวะเงินฝืด พร้อมตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% เช่นกัน รวมถึงการแจกจ่ายคูปองแลกเป็นเงินช่วยเหลือให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีญี่ปุ่นไปขยายการค้าและการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการกอบกู้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอีกด้านหนึ่ง

สงครามค่าเงินที่เกิดขึ้นนี้ ด้านหนึ่งเกิดมาจากวิกฤติรูเบิลที่ร่วงลงหนักถึง 60% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เพราะมาตรการแซงก์ชันของสหรัฐและนาโต้ที่มีต่อรัสเซีย ประกอบกับการตกต่ำของราคาน้ำมันที่ดิ่งลงกว่า 50% กับอีกด้านหนึ่งเกิดวิกฤติแข็งค่าของเงินฟรังก์สวิสทันที 30% หลังจากที่ ECB ประกาศทำ QE เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินยูโรดิ่งลงอย่างหนักจากเงินยูโรที่เคยเทียบเท่า 1.38 ดอลลาร์เมื่อเดือนพ.ค.2557 มาอยู่ที่ 1.11-1.13ดอลลาร์ เป็นการปรับตัวลดลง 18% เช่นเดียวกับเงินเยนที่อ่อนค่าลง 15% ในปีที่แล้วมาอยู่ที่ 118-120 เยน ดังนั้นสงครามค่าเงินขณะนี้จึงมาจากการที่ ECB และ BOJ ทำการลดค่าเงินของตัวเองจนทำให้เงินสกุลอื่นแข็งค่าโดยปริยาย ซึ่งหากประเทศใดต้องการให้ค่าเงินของตัวเองอ่อนลงต้องทำ QE ปั๊มเงินออกมาแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในทำนองเดียวกัน

เช่นเดียวกับที่ธนาคารกลางสวิสกำลังดำเนินการขณะนี้ รวมทั้งล่าสุดธนาคารกลางสิงคโปร์ก็ร่วมโดดลงในสนามสงครามค่าเงินด้วยการทำ QE เพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อลดค่าเงินลงมาที่ 1.35 ต่อดอลลาร์ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. หวั่นเงินฝืดเข้าครอบงำเศรษฐกิจหลังแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ในระดับเพียงแค่ 0.5% ขณะเดียวกันกับธนาคารกลางจีนเลิกผูกเงินหยวนกับดอลลาร์ ที่เรียกว่าการทำ depeg กับเงินสกุลอื่น เพื่อให้หยวนมีความยืดหยุ่นโดยอาจทำ depeg กับตะกร้าเงิน หรือ depeg กับสกุลเงินอ่อนค่าอยู่แล้วเช่นเงินเยน ก็เพื่อให้เงินหยวนอ่อนค่าลงโดยเคลื่อนไหวที่ระดับ 6.25 ต่อดอลลาร์ และสามารถรักษาขีดแข่งขันการส่งออกไว้ได้ สำหรับบ้านเราก็เช่นกัน เงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยเทียบดอลลาร์ที่ 32.70 แต่เงินบาทกลับแข็งค่า เมื่อเทียบเงินยูโรที่ 36.60 บาท เทียบเงินเยนที่ 27.50 บาท หรือเทียบเงินปอนด์ที่ 43 บาท อาจส่งผลกระทบต่อส่งออก ดังนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามสงครามค่าเงินที่เสี่ยงจ่อเข้ามาใกล้ตัวเราไม่ได้แล้ว

ค่านิยมหลักคนไทย 12 ประการ กับการทำให้ธุรกิจอยู่รอด

สวัสดีครับปีใหม่ปีนี้เข้ามาและสัปดาห์สุดท้ายก็กำลังจะผ่านไปแล้วนะครับ  

ในปีใหม่นี้ มีเรื่องและปัจจัยหลายเรื่องที่มีโอกาสทำให้การทำธุรกิจของเราและท่านทั้งหลายมี ความท้าทายมาก เมื่อวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาและพูดคุย กับผู้ใหญ่และผู้บริหารหลายท่าน หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจที่มีการสนทนากันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ราคาน้ำมันที่ลดลง การเคลื่อน ย้ายของเงินทุนที่จะเกิดขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นจากภายนอกและมีผลกระทบต่อเรา

จากการฟังและสนทนานั้น ประกอบกับผมสังเกตในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 1-2 ปี ไม่ว่าจะเป็นภาคส่วนธุรกิจ หรือรัฐบาลเอง พยายามหากุศโลบายในการทำให้เกิด ความสนใจและความเข้าใจมากยิ่งขึ้นในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ หลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพลงในการสื่อความ การนำเอาการ์ตูน หรือการเล่าเรื่องราวแบบ ง่าย ๆ ผ่านสื่อต่าง ๆ ที่มีความกระชับและเข้าใจง่ายมาเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการ สื่อสารที่มีความกระชับและสม่ำเสมอนั้นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี และสามารถส่งต่อให้กัน และกันเป็นวงกว้างมากขึ้นโดยใช้ระยะเวลาในการสื่อสารน้อย ซึ่งหนึ่งในการสื่อสารที่ ทำให้เกิดความสมานสามัคคี และทำให้เกิดแรงบันดาลใจโดยง่าย คือ การสื่อสารค่า นิยมหลักของคนไทยซึ่งหากผมนำเอาค่านิยมหลักของคนไทย (ซึ่งรวมถึงเรา ๆ ที่เป็นผู้ประกอบการ) ด้วยแล้วนั้น ก็จะเป็นการเพิ่มภูมิป้องกันตัวเองในการดำเนิน การและแข่งขันได้ดีกับคนอื่น ๆ ดีขึ้นด้วย

ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการนั้น ประกอบด้วย

1. มีความรักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์

2. ซื่อสัตย์เสียสละอดทนมีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม

3. กตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ปกครองครูบาอาจารย์

4. ใฝ่หาความรู้หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม

5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม

6. มีศีลธรรมรักษาความสัตย์หวังดีต่อผู้อื่นเผื่อแผ่และแบ่งปัน

7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง

8. มีระเบียบวินัยเคารพกฎหมายผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่

9. มีสติรู้ตัวรู้คิดรู้ทำรู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็นมีไว้พอกินพอใช้ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่ายและพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อมเมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี

11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่างหรือกิเลสมีความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา

12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมและของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

ซึ่งหากเรานำเอาค่านิยมเหล่านั้นมาดัดแปลงเพิ่มเติมในการดำเนินการธุรกิจของเรานั้น การดำเนินการของธุรกิจเราสามารถนำเอาค่านิยมมาเป็นแนวทางคือ

การทำธุรกิจของเรานั้นเราจักทำธุรกิจให้อยู่รอดได้เราจำเป็นต้องมีการดำเนินการและมีการจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ดีบ่อยครั้งมีคำถามว่าค่าเงินเป็นอย่างไรดอกเบี้ยเป็นอย่างไร AEC เปิดแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งคำถามเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็น ปัจจัยที่เกิดจากการกระทำภายนอก แต่หากเราพิจารณาให้ถ้วนถี่แล้วนั้น การเตรียม ตัวจากด้านในนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญ และอาจจะสำคัญยิ่งกว่าการดำเนินการเพื่อรับ มือภายนอกเสียอีก

ผมจึงขอนำเอาค่านิยมคนไทย 12 ประการมาเป็นแนวทางในการดำเนินการปรับตัว ภายในของการดำเนินการธุรกิจ ซึ่งการดำเนินการปรับตัวภายในนี้นั้นเป็นเสมือนกับ การเตรียมร่างกาย จิตใจ และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เราสามารถดำเนินการเองได้ให้ พร้อมเสียก่อน และด้วยความเชื่อว่าหากเราเตรียมตัวเองให้พร้อมแล้ว การพัฒนา การต่อสู้ไม่ว่าเรื่องไหนก็แล้วแต่ เรามีโอกาสที่จะอยู่รอด และชนะการดำเนินการนั้น ๆ

ในการทำให้ธุรกิจอยู่รอด และนำเอาค่านิยมมาเป็นหลัก ผมขออนุญาตนำเอาคำหลัก ๆ จัดรวมเป็นกลุ่ม ๆ คือ

เราเป็นธุรกิจและผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และมีฐานเริ่มต้นจากประเทศไทย เราต้องมีความรักและหวงแหนในประเทศของเรา ประเทศไทยมีชัยภูมิที่ดี เป็นศูนย์กลางการค้าและคมนาคมจากหลาย ๆ ประเทศไม่ว่าจะเป็นอาเซียน เอเชีย หรือการค้าข้ามประเทศ ซึ่งด้วยความมีเปรียบในด้านชัยภูมิดังกล่าว มีคนหลาย ๆ คนในหลาย ๆ ประเทศเข้ามาทำการค้าขายและตั้งรากฐานในประเทศ ของเราเพิ่มเติมขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต ความรักในดินแดน ในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราจะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในการทำงานใดๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก

การค้าขาย หรือการดำเนินการใด ๆ นั้น จำต้องเริ่มต้นและดำเนินการด้วยความตั้งใจ ความซื่อสัตย์ มีระเบียบ เคารพกฎกติกาต่าง ๆ ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น กฎต่าง ๆ ที่ดำเนินการออกมาก็เพื่อทำให้เกิดการคุ้มครองสังคมให้มีการดำเนินการไปด้วยความสุข และมีความคุ้มครองบุคคลต่าง ๆ ในสังคมนั้น ๆ อาทิ ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ คนในประเทศ คนนอกประเทศ เป็นต้น ความซื่อสัตย์ และการเคารพกฎต่าง ๆ จะทำให้เกิดความมั่นใจในการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราที่มีให้กับลูกค้าของเรา

ในการประกอบธุรกิจนั้น การพัฒนาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ไปตามเวลา การแข่งขัน เทคโนโลยี การใช้งาน และอื่น ๆ นั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ และเราในฐานะของผู้ทำธุรกิจก็จำต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจ ทำวิจัย มีสติ ก็จะทำให้เราสามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่มีความเปลี่ยน แปลงไป

สุดท้ายนั้น ในการทำธุรกิจใด ๆ ก็ต้องทำธุรกิจด้วยความสุจริต และมีความพอเพียง หรือ เพียงพอ ทั้งในด้านการเตรียมการ การหากำไร การดูแลสังคม และคนหรือสิ่ง รอบตัวที่อยู่ในการทำธุรกิจของเรา ซึ่งการทำให้เกิดประโยชน์เป็นองค์รวมนั้นจะทำ ให้การดำเนินการหรือประกอบธุรกิจใด ๆ เกิดความยั่งยืน และได้รับความยอมรับเป็น คู่ค้าคู่สังคมที่อยู่ด้วย

การนำเอาค่านิยมการสำหรับคนไทยมาปรับและสะท้อนอีกมิติของการดำเนินธุรกิจ อาจดูเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่การดำเนินการให้เกิดความเข้าใจและจำได้ของค่านิยมนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ กุศโลบายในการทำให้เกิดความเข้าใจในปัจจุบันมีมากและสามารถ เลือกใช้ได้ เพียงแต่เราขอเวลาของเราสักนิด หยุด…. และทำความเข้าใจ

คนคือผู้ดำเนินการธุรกิจ ธุรกิจเดินได้ด้วยคนที่บริหารและดำเนินการ ดังนั้นธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยการกระทำ … ความช่วยเหลือต่าง ๆ จากคนต่าง ๆ นั้น จะมีผลก็ต่อเมื่อเราเตรียมร่างกาย(ทางธุรกิจ) ของเราให้พร้อม ปัจจัยภายนอกที่มาก็จะไม่มีผลมากนักกับเรานะครับ

หุ้นไทยยังสดใส

บลจ.วรรณแนะลงทุนในหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทย เชื่อแนวโน้มการลงทุนยังสดใส โดยเฉพาะผลบวกจาก QE ที่มาตามคาด ผลักให้กองทุนเปิด ONE-EURO รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติอีกครั้ง ขณะที่กองหุ้นไทยรับอานิสงส์จ่ายปันผลรวด 6 กองทุน

 

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาปรับตัวในลักษณะ Sideway Up แม้จะมีความผันผวนระหว่างทางบ้าง หลังจากที่นักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศของยูเครนและรัสเซีย แต่ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และการเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียบางประเทศ ประกอบกับการผ่อนคลายสภาพคล่องเพิ่มเติมของทางธนาคารกลางหลักในประเทศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและยูโรโซน ด้วยเม็ดเงินมหาศาลก็สามารถผลักดันให้ดัชนีฯ ตลาดส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นได้

ขณะที่ในปีนี้ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศระยะถัดไปในระยะสั้นมองว่าตลาดหุ้นยังคงปรับตัวได้ต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความผันผวนระหว่างทางบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการดำเนินนโยบายของพรรคไซรีซา หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของกรีซ ทำให้ตลาดมองว่าอาจมีการแยกกรีซออกจากยูโรโซนและอาจเกิดปัญหาการชำระหนี้ประเทศกับทาง IMF และธนาคารกลางยุโรป ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรอดูเหตุการณ์ก่อน แต่อย่างไรก็ดี ด้วยกระบวนการทางกฎหมายและคะแนนเสียงที่พรรคดังกล่าวยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียวแล้ว ทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อ Sentiment เชิงลบในระยะสั้นเท่านั้น และจะไม่กระทบในวงกว้าง ทำให้ตลาดจะยังสามารถกลับมาดีขึ้นได้ในช่วงถัดไป

สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากสภาพคล่องที่ยังคงล้นระบบจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณของธนาคารกลางหลักของญี่ปุ่นและยูโรโซนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยูโรโซนที่การประชุม ECB ล่าสุดได้ประกาศการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลภายใต้วงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนตั้งแต่เดือนมี.ค. 58 ถึงเดือน ก.ย. 59 ซึ่งคิดแล้วเป็นมูลค่าวงเงินรวมสูงถึง 1.2 ล้านล้านยูโร และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ค่อนข้างมากที่ 5 แสนล้านยูโร ซึ่งจะผลักดันให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและทำให้สินทรัพย์เสี่ยงยังเป็นที่น่าสนใจทิศทางราคาน้ำมันที่เริ่มทรงตัวได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Sentiment การลงทุนเริ่มผันผวนน้อยลง และทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่ม Market Cap ค่อนข้างใหญ่ในแต่ละตลาดหุ้น เริ่มรักษาระดับราคาไว้ได้ หลังจากที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา

โดยมองว่าราคาน้ำมันตอนนี้เริ่มใกล้เคียงกับราคาต้นทุน (Cashing Cost) ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้คาดว่า Downside Risk ของราคาน้ำมันเริ่มจำกัด โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะเคลื่อนไหวได้ในกรอบ +/- 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเล็กน้อย และยังเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ จากต้นทุนพลังงานที่ปรับลดลง ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในระดับที่มากหรือน้อยเพียงไร สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามได้แก่ ท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ในส่วนของยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ควบคู่ไปด้วย เพราะบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มเติม นอกเหนือจากแรงสนับสนุนเชิงบวกดังกล่าวเช่นกัน

สำหรับด้านการลงทุนของตลาดหุ้นไทยนั้น เรายังมีมุมมองเชิงบวกสอดคล้องกับตลาดหุ้นโดยรวมของทั่วโลกเช่นเดียวกัน เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว นำโดยการใช้จ่ายภาครัฐจากการเริ่มประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะนำมาซึ่งการลงทุนของภาครัฐและเอกชน และการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันโลกที่ลดลง และราคาสินค้าการเกษตร เช่น ข้าว และยางพารา ที่เริ่มฟื้นตัวได้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการส่งออกในปี 2558 ให้ฟื้นตัวได้ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าด้วยแรงสนับสนุนผ่านมาตรการของภาครัฐและการเมืองที่คลี่คลายก็น่าจะทำให้การท่องเที่ยวในปีนี้มีการฟื้นตัวได้ โดยจะเห็นได้ว่าสัญญาณการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 4/57 ที่ผ่านมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นที่สำคัญ

นอกจากปัจจัยพื้นฐานที่ฟื้นตัวแล้ว ผมยังมองว่าปัจจัยที่สำคัญที่ยังผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวต่อไปได้ ได้แก่ สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจจากการดำเนินการ QE เพิ่มเติมของ ECB และ BOJ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังมีเม็ดเงินมหาศาลรอเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงถัดไป ขณะที่มูลค่าหุ้นไทยเองก็ยังคงต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในกลุ่ม TIP Region โดยปัจจุบันราคาหุ้นต่อกำไร (PE) ไทยอยู่ที่ 15.29 เท่าเมื่อเทียบกับระดับ PE ของอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่ 15.56 และ 18.87 เท่า ตามลำดับ ประกอบกับ Downside risk จากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติที่จำกัดมากขึ้นหลังจากที่ปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา ทำให้ผมมองว่า SET Index ในปี 2558 นี้จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,700 จุด จากปัจจัยสนับสนุนที่กล่าวข้างต้น

ด้วยปัจจัยด้าน QE ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ของตลาดมาในช่วงระยะหนึ่งและมีการดำเนินการตามคาดการณ์ ทำให้กองทุนเปิด วรรณ ยูโรเปี้ยน ฟันด์ 12 (ONE-EURO) สามารถจ่าย Auto Redemption (รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ) เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 58 ที่ผ่านมาอีกประมาณ 3% หลังจากที่จ่าย 3% แรกไปแล้วในช่วงก่อนหน้า โดยครั้งนี้กองทุนฯ มีการจ่าย Auto Redemption ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.3135 บาทต่อหน่วย และกองทุนฯ มีเป้าหมายรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งถัดไปเมื่อ NAV แตะระดับ 10.90 บาทต่อหน่วย และเลิกกองทุนเมื่อ NAV แตะระดับ 11.25 บาทต่อหน่วย

ขณะที่กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทย สามารถจ่ายเงินปันผลจำนวน 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ไซรัส โมเมนตัม ฟันด์ (SYRUS-M) กองทุนเปิด สหธนาคารเอกปันผล 3 (ONE-UB3) กองทุนเปิด วรรณ อิควิตี้ (ONE-EQ) และกองทุนเปิด วรรณเฟล็กซิเบิล (ONE-FLEX) โดยจะปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 26, 27, 28 และ 30 ม.ค. 58 ตามลำดับ และจะจ่ายปันผลในอัตราหน่วยลงทุนละ 2.25 บาท, 1.83 บาท, 2.75 บาท และ 0.543 บาท ตามลำดับ ในวันที่ 19 ก.พ. 58

สำหรับกองทุนรวมประเภท ETF ทาง บลจ.วรรณจะมีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) และกองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend อีทีเอฟ (1DIV) โดยจะปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 5 ก.พ. 58 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.314 บาท และ 0.233 บาท โดยมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 23 ก.พ. 58

ลงทุนหุ้น

“สำหรับทิศทางการเสนอขายกองทุนรวมในปีนี้ ยังคงมีแผนที่จะเสนอขายกองทุนรวมอีกหลายกองทุน เนื่องจากมองว่าปีนี้ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่การลงทุนในหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย อย่างเช่นญี่ปุ่น จีน และไทย รวมทั้งอาจมีโอกาสเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันหลังจากที่มองว่า Downside risk ของราคาน้ำมันเริ่มจำกัด โดยการเสนอขายจะพิจารณาจังหวะการลงทุนอีกครั้ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมกับภาวะการลงทุนให้แก่นักลงทุนมากที่สุด”

“TTA” เตรียมเพิ่มทุน หลังผู้ถือหุ้นผ่านโหวต

TTA จ่อเพิ่มทุน 739,383,450 บาท หลังผู้ถือหุ้นโหวตอนุมัติ เตรียมจัดสรรผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) จำนวน 520,470,459 หุ้น ในราคา 14 บาท/หุ้น สัดส่วน 15 หุ้นเดิมต่อ 6 หุ้นเพิ่มทุน แถมฟรี TTA-W5 อีก 2 หน่วย เตรียมจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 0.25 บาท พร้อมสิทธิในการจองซื้อหุ้น PMTA ก่อนเสนอขายให้นักลงทุนทั่วไป จ่อขยายธุรกิจตามแผน เผยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR วันที่ 5 ก.พ.นี้ ก่อนปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 10 ก.พ. และรับจองซื้อ-ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนระหว่าง 25 ก.พ.ถึง 3 มี.ค.58

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA กล่าวว่า ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2558 ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2558 ได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 89.69 ของผู้เข้าร่วมประชุม และมีสิทธิลงคะแนน ซึ่งหลังจากนี้ บริษัทฯ จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่วางไว้ โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 ก่อนจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ และกำหนดวันจองซื้อ และชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์-3 มีนาคม 2558

“ในนามของผู้บริหาร TTA ผมต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่มอบความไว้วางใจ และมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนดังกล่าว ซึ่งเราขอให้คำมั่นแก่ผู้ถือหุ้นว่า เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนทั้งหมดจะถูกนำไปใช้ในการขยายกิจการ และแสวงหาโอกาสลงทุนที่สร้างการเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืนให้แก่ TTA ต่อไป”

นอกจากผู้ถือหุ้นของ TTA จะสามารถรักษาสัดส่วนการถือหุ้นด้วยการใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (สัดส่วนการจัดสรร 15 หุ้นเดิมต่อ 6 หุ้นใหม่) ในราคาหุ้นละ 14 บาท ซึ่งเป็นราคาที่มีส่วนลดคิดเป็นร้อยละ 25 จากราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 30 วันย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย.2557 ถึง 5 ม.ค.2558 ซึ่งเท่ากับ 18.68 บาทต่อหุ้น) แล้ว ผู้ถือหุ้นยังจะได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ครั้งที่ 5 (TTA-W5) ฟรีอีก 2 หน่วย พร้อมรับเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท (XD วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้น TTA ยังจะได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นบริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง คอมปานี ที่ลงทุนในบริษัท บาคองโค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรชั้นนำในประเทศเวียดนาม โดยผู้ถือหุ้น TTA จะได้รับสิทธิจองซื้อก่อนผู้ลงทุนทั่วไป ก่อนที่ PMTA จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป จึงถือเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับผู้ถือหุ้น TTA

ทั้งนี้ TTA ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน 739,383,450 บาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 739,383,450 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 1,537,463,800 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 2,276,847,250 บาท โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) ในจำนวนไม่เกิน 520,470,459 หุ้น ในสัดส่วน 15 หุ้นสามัญเดิมต่อ 6 หุ้นสามัญใหม่ ควบคู่กับ 2 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ครั้งที่ 5 (TTA-W5) ส่วนหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจะจัดสรรไว้สำหรับรองรับการแปลงสภาพ TTA-W3, TTA-W4 และ TTA-W5

′บลจ.ธนชาต′ ควัก 110 ล้าน เตรียมจ่ายปันผล 3 กองรวด

บลจ.ธนชาตเตรียมจ่ายเงินปันผลกว่า 110 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน ASD หน่วยละ 0.25 บาท และ LTFD หน่วยละ 0.58 บาท พร้อมจ่อจ่ายปันผลกองทุน SPT เร็ว ๆ นี้

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลกว่า 110 ล้านบาท สำหรับการจ่ายปันผล 2 กองทุน ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดอำนวยทรัพย์ปันผล (ASD) สําหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุด วันที่ 25 ธันวาคม 2557 ซึ่งกองทุนนี้เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นผสมกับตราสารหนี้ โดยกำหนดจ่ายปันผลเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2558 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.25 บาท นอกจากนี้ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ บลจ.ธนชาต กำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดธนชาติหุ้นระยะยาวปันผล (LTFD) สําหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2557 โดยจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.58 บาท

ที่ผ่านมา กองทุนเปิดอำนวยทรัพย์ปันผล (ASD) มีผลการดำเนินงานนับตั้งวันจัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนมีนาคม 2537 ที่ 428.39% และผลการดำเนินงานย้อนหลังสะสม 3 ปี ที่ 45.64 % ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 199.31% และ 29.65 % ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 26 ม.ค. 2558) ซึ่งกองทุนนี้จ่ายปันผลไปแล้ว 9 ครั้ง รวม 4.6 บาท ในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ส่วนกองทุนเปิดธนชาติหุ้นระยะยาวปันผล (LTFD) มีผลการดำเนินงานย้อนหลังนับตั้งวันจัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนกันยายน 2547 ที่ 232.65% และผลการดำเนินงานย้อนหลังสะสม 3 ปี ที่ 67.23% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 143.43% และ 48.64% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 26 ม.ค. 2558) โดยจ่ายปันผลไปแล้ว 8 ครั้ง รวม 5.06 บาท ในรอบ 10 ปีนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน

นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ บลจ.ธนชาต ยังมีแผนจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดสินไพฑูรย์ (SPT) ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุน กำหนดปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 28 มกราคม 2558 ซึ่งกองทุนนี้มีผลการดำเนินงานย้อนหลังนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนสิงหาคม 2537 ที่ 119.31% และผลการดำเนินงานย้อนหลังสะสม 3 ปี ที่ 78.03 %ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 16.43 % และ 48.64 % ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 26 ม.ค. 2558) ซึ่งกองทุนนี้จ่ายปันผลไปแล้ว 5 ครั้ง รวม 5.9688 บาท ในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงนักลงทุนให้มองการลงทุนในระยะยาวเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนสะสมที่มากกว่าการลงทุนระยะสั้น

คำเตือน
-การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและคู่มือภาษีก่อนการตัดสินใจลงทุน
-การวัดผลการดำเนินงานของกองทุน ASD กองทุน LTFD กองทุน SPT จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการกองทุน
-ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
-ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมและหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ธนชาต โทร.0-2126-8399 หรือธนาคารธนชาตทุกสาขา โทร. 1770