เป็นที่รู้กันว่า ภายใต้สถานการณ์ที่สงครามค่าเงิน ที่กำลังเข้มข้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำนโยบาย QE
(Quantitative Easing) ของ 4 ธนาคารกลางหลักของโลก โดยล่าสุดธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB (EuropeanCentral Bank) ประกาศอัดฉีดเงินเดือนละ 60,000 ล้านยูโร หรือ 70,000 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในกลุ่มประเทศยูโรโซน ที่ประสบทั้งปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ และปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เป็นผลมาจากภาวะเงินฝืด รวมถึงการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินภาคธุรกิจที่มีขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี และลูกหนี้ของระบบธนาคาร เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานถึง 19 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.-ก.ย. 2559 ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางอังกฤษ แม้ได้หยุดทำ QE ใหม่ๆ แต่ยังพบว่า QE ก่อนหน้านี้ยังคงตกค้างอยู่ในระบบการเงินโลกรวมกันเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์
กรณีวิกฤติในยุโรปนับเป็นเม็ดเงินก้อนมหึมาที่ ECB ต้องใช้ในการดำเนินการ QE รอบนี้ถึง 1.14 ล้านล้านยูโร หรือราว 1.4ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซน โดยตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ต่อปี ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ (Bank of Japan) ที่กำลังทำ QE ในวงเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ที่จะครบกำหนด 2 ปี ตามเป้าหมายในเดือนก.พ.นี้ พร้อมกับการประกาศอัดฉีดเงินเพิ่มในปริมาณเงินอีกเดือนละ 20 ล้านล้านเยน โดยที่ BOJ ได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นทั้ง 100% หวังให้รัฐบาลนำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดันหลุดจากภาวะเงินฝืด พร้อมตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% เช่นกัน รวมถึงการแจกจ่ายคูปองแลกเป็นเงินช่วยเหลือให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีญี่ปุ่นไปขยายการค้าและการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการกอบกู้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอีกด้านหนึ่ง
สงครามค่าเงินที่เกิดขึ้นนี้ ด้านหนึ่งเกิดมาจากวิกฤติรูเบิลที่ร่วงลงหนักถึง 60% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เพราะมาตรการแซงก์ชันของสหรัฐและนาโต้ที่มีต่อรัสเซีย ประกอบกับการตกต่ำของราคาน้ำมันที่ดิ่งลงกว่า 50% กับอีกด้านหนึ่งเกิดวิกฤติแข็งค่าของเงินฟรังก์สวิสทันที 30% หลังจากที่ ECB ประกาศทำ QE เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินยูโรดิ่งลงอย่างหนักจากเงินยูโรที่เคยเทียบเท่า 1.38 ดอลลาร์เมื่อเดือนพ.ค.2557 มาอยู่ที่ 1.11-1.13ดอลลาร์ เป็นการปรับตัวลดลง 18% เช่นเดียวกับเงินเยนที่อ่อนค่าลง 15% ในปีที่แล้วมาอยู่ที่ 118-120 เยน ดังนั้นสงครามค่าเงินขณะนี้จึงมาจากการที่ ECB และ BOJ ทำการลดค่าเงินของตัวเองจนทำให้เงินสกุลอื่นแข็งค่าโดยปริยาย ซึ่งหากประเทศใดต้องการให้ค่าเงินของตัวเองอ่อนลงต้องทำ QE ปั๊มเงินออกมาแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในทำนองเดียวกัน
เช่นเดียวกับที่ธนาคารกลางสวิสกำลังดำเนินการขณะนี้ รวมทั้งล่าสุดธนาคารกลางสิงคโปร์ก็ร่วมโดดลงในสนามสงครามค่าเงินด้วยการทำ QE เพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อลดค่าเงินลงมาที่ 1.35 ต่อดอลลาร์ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. หวั่นเงินฝืดเข้าครอบงำเศรษฐกิจหลังแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ในระดับเพียงแค่ 0.5% ขณะเดียวกันกับธนาคารกลางจีนเลิกผูกเงินหยวนกับดอลลาร์ ที่เรียกว่าการทำ depeg กับเงินสกุลอื่น เพื่อให้หยวนมีความยืดหยุ่นโดยอาจทำ depeg กับตะกร้าเงิน หรือ depeg กับสกุลเงินอ่อนค่าอยู่แล้วเช่นเงินเยน ก็เพื่อให้เงินหยวนอ่อนค่าลงโดยเคลื่อนไหวที่ระดับ 6.25 ต่อดอลลาร์ และสามารถรักษาขีดแข่งขันการส่งออกไว้ได้ สำหรับบ้านเราก็เช่นกัน เงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยเทียบดอลลาร์ที่ 32.70 แต่เงินบาทกลับแข็งค่า เมื่อเทียบเงินยูโรที่ 36.60 บาท เทียบเงินเยนที่ 27.50 บาท หรือเทียบเงินปอนด์ที่ 43 บาท อาจส่งผลกระทบต่อส่งออก ดังนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามสงครามค่าเงินที่เสี่ยงจ่อเข้ามาใกล้ตัวเราไม่ได้แล้ว