คาดตลาดเดือนกุมภาจะผันผวนมากขึ้น

เดือนก.พ. 2558 คาดว่าตลาดจะผันผวนมากขึ้นหลังจากขึ้นไปทดสอบ 1600 จุดแล้วไม่ผ่าน & ยืนเหนืออย่างมั่นคง

setlnw-china

โดยปัจจัยที่กดดัน คือ เศรษฐกิจโลกที่เติบโตชะลอตัวลง ล่าสุด IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP ของโลกปี 2558 ลงเป็น 3.3% (เดิม 3.8%) และธนาคารโลกได้ปรับลงเป็น 3.3% เช่นกัน (เดิม 3.7%) เนื่องจากกำลังซื้อของประเทศที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันอ่อนแอลงไปมากหลังราคาน้ำมันดิ่งลงแรง และมีแนวโน้มว่าจะขยับขึ้นได้ไม่มากเพราะอุปทานในตลาดโลกที่ยังสูงมาก

นอกจากนั้นยังมีความกังวลกับทิศทางของกรีซ หลังรัฐบาลใหม่มีนโยบายต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้หรือออกจากยูโรโซน, ความผันผวนด้านการเงินในรัสเซีย และความวุ่นวายทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับยูเครน รวมถึง Valuation ของตลาดหุ้นที่อยู่ในโซนแพง

อย่างไรก็ตาม…สภาพคล่องในตลาดโลกที่สูงอาจช่วยจำกัด Downside Risk ทั้งนี้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกอยู่ในระดับสูง ซึ่งมาจากการที่ยูโรโซนจะเริ่มดำเนินโครงการนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและเอกชนตั้งแต่มี.ค.2558 ถึงก.ย.2559 ด้วยมูลค่า 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน (รวมมูลค่าโครงการ 1.14 ล้านยูโร) และญี่ปุ่นดำเนินการ QE ต่อเนื่องโดยตั้งเป้าหมายขยายฐานเงินปี 2558 อีก 80 ล้านล้านเยน

อัตราผลตอบแทนในตลาดเงินโลกที่ต่ำมาก ทำให้ตลาดหุ้นเป็นเป้าหมายของการลงทุนในช่วงสั้น ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีในตลาดยูโรโซนลดลงมาใกล้ 0% หลัง ECB ประกาศใช้ QE ในมูลค่าที่สูงกว่าคาด และอัตราดอกเบี้ยของหลายประเทศอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หรือมีโอกาสลดลงได้อีก เช่น จีน เป็นต้น

คาดเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงเป็น 2.6%QoQ ใน 4Q57 จาก 4.6% ใน 2Q57 และ 5.0% ใน 3Q57 รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ ทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะไม่เร็วมากนัก เราคาดว่าเร็วสุดจะเป็นต้น 4Q58

โครงการลงทุนของประเทศไทยคืบหน้ามากขึ้น คาดเม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบได้อย่างชัดเจนตั้งแต่กลางปี 2558 เป็นต้นไป โดยขณะนี้รัฐบาลไทยได้จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาและสวนยางพาราเสร็จสิ้นแล้วในปลายปี 2557 และกำลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือรอบใหม่วงเงิน 4-5 หมื่นล้านบาทในเดือนก.พ.2558

ด้านโครงการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานก็เดินหน้าต่อเนื่อง คาดรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือจะเซ็นสัญญาได้ใน 2Q58 และเสนอโครงการสายสีส้มให้ครม.พิจารณาเดือนก.พ.2558 เสนอสายสีเหลือง & ชมพูให้พิจารณากลางปี 2558 ส่วนที่กำลังก่อสร้างคือสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายและสีม่วง ก็เป็นไปได้ดีขึ้น

นอกจากนั้นกระทรวงคมนาคมยังจะของบประมาณซ่อมถนนทั่วประเทศ 4 หมื่นล้านบาทในเร็วๆ นี้ด้วย สำหรับโครงการรถไฟรางคู่ จะมีประชุมร่วมกับพันธมิตรจีนในเดือนก.พ.นี้ และเริ่มลงพื้นที่สำรวจเดือนมี.ค.58 สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะเดินหน้าดีขึ้นเป็นลำดับ ครม.เห็นชอบกรอบงบประมาณลงทุนปี 2559 เพิ่มขึ้นถึง 21% เป็น 5.44 แสนล้านบาท

ยังไม่ได้ปรับเป้าหมายของ SET Index ในปี 2558 ที่ให้ไว้ 1602 จุด ซึ่งอิงกับ EPS Growth ปี 2557-2558 ที่ -1.2% และ +10.7% ตามลำดับ และให้ระดับเป้าหมายของ P/E ที่ 16.3 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยใน Band High ย้อนหลัง 5 ปี

อย่างไรก็ตาม P/E ตลาดอาจขยายขึ้น (Expansion) ได้จากเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ที่เข้ามา และทำให้ดัชนีขึ้นไปสูงกว่าเป้าหมายที่เราให้ไว้ แต่การปรับขึ้นของตลาดในรูปแบบนี้มักจะตามมาด้วยความผันผวนสูง เนื่องจากไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับอย่างเพียงพอ

กลยุทธ์ : เลือกซื้อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีในปี 2558 โดย Top Picks สำหรับเดือนก.พ.2558 เราเลือกเป็น AAV, MINT, QH, RATCH, STPI ส่วนหุ้น Dark Horse คือ SC, TMB

SET แกว่งตัวไร้ทิศทาง

แนวโน้มวันนี้เป็นกลาง มองกรอบเคลื่อนไหว 1,520 – 1,538 จุด

SET มีโอกาสรีบาวน์ขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมบริเวณ 1538 จุด แต่คาดยังไม่ผ่าน การปรับขึ้นของ SET ต่อเนื่อง 3 วันทำการเกิดจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันเกือบ 8 พันล้านบาทในหุ้นกลุ่มนำตลาดที่มีผลต่อ SET มาก สูงกว่าสถิติที่นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิในเดือนม.ค.ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพียง 1.5-4.1 พันล้านบาท จึงมีโอกาสกลับมาขายทำกำไรในช่วงที่เหลือของเดือน ส่วนนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิ 870 ล้านบาทเมื่อวันศุกร์ ยืนยันมุมมองว่านักลงทุนต่างชาติยังไม่เพิ่มพอร์ตในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ ขณะที่การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มธนาคารเริ่มไม่เป็นเอกภาพบ่งบอกถึงการสลับตัวเล่น จึงอนุมานได้ว่าการปรับขึ้นของ SET คราวนี้เป็นเพียงการรีบาวน์ทางเทคนิค และควรระวังแรงขายทำกำไรจากนี้ไป ทางเทคนิค SET กำลังรีบาวน์ขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมบริเวณ 1538 จุด หากผ่านไปได้จะกลับสู่แนวโน้มขาขึ้น แม้ผ่านขึ้นไปยังติดแนวต้านบริเวณ 1550 จุด (ระดับ 23.6% Fibonacci และ Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 11 ธ.ค.) อยู่ดี เราจึงไม่คาดหมายการกลับสู่ทิศทางขาขึ้นในสัปดาห์นี้

กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรระยะ 1-2 วัน เลือกตัวเล่น ทยอยขายบางส่วนเมื่อ SET ปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านบริเวณ 1538 จุด หาก SET ปิดต่ำกว่า 1520 จุด กลับมาถือครองเงินสด การปรับขึ้นของ SET ควรเป็นจังหวะทยอยขายทำกำไรหุ้นกลุ่มนำตลาดมูลค่าตลาดสูง เช่นกลุ่มพลังงานและธนาคารขนาดใหญ่ที่ปรับขึ้นมาแล้ว และหันไปให้ความสนใจหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมถึง Laggard play แทน

Top Daily Pick : HEMRAJ (เกิด Synergies หากการซื้อกิจการโดย WHA สำเร็จ และราคาเข้าซื้อที่ 4.5 บาทสูงกว่าราคาตลาดช่วยจำกัด downside ขณะที่ธุรกิจหลักขายที่ดินมีแนวโน้มฟื้นตัวในปีนี้) /THAI (ผลการดำเนินงานมีโอกาสฟื้นตัวจากการปรับโครงสร้างธุรกิจหลังมี DD ใหม่เข้ามา)

Technical Pick: TRUE IFEC ACD RICH BANPU

Theme Play : หุ้นกลุ่มที่มีโมเมนตัมดี (FVC ROJNA BECL TISCO IFEC SAMTEL HOTPOT CFRESH) ที่ outperform ตลาดได้สองสัปดาห์ต่อเนื่อง Laggard play (ADVANC BANPU LH) /กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยปันผลเด่น (AP QH SIRI) /หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร/ความงามที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ (BEAUTY M MC SST)

รายงานวันนี้

Update (Reinitiate) : ADVANC (ซื้อ / มูลค่าเหมาะสม 309 บาท) ประสิทธิภาพในการทำกำไรโดดเด่น ปันผลสูง

Strategy Talk

กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ (12-16 มกราคม)

•แนวโน้ม สัปดาห์นี้คาด SET แกว่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้านแถว 1538-1550 จุดแล้วพัก มองกรอบเคลื่อนไหว 1500-1550 จุด การปรับขึ้นสัปดาห์ก่อนเกิดจากเม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก ซึ่งโดยสถิติมีโอกาสถูกขายทำกำไรช่วงที่เหลือของเดือนนี้ ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ยังเป็นขาลงยังไม่สนับสนุนหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้นมารอ ขณะเดียวกันการทยอยประกาศงบปี 57 ของหุ้นกลุ่มธนาคารตั้งแต่กลางสัปดาห์นี้เสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร (Sell-On-Fact) ทางเทคนิค SET กำลังปรับขึ้นทดสอบแนวต้านแถว 1538 และ 1550 จุด หากผ่าน 1538 จุด ขึ้นไปได้จะกลับสู่ทิศทางขาขึ้น แต่เนื่องจากมีแนวต้านแถว 1550 จุด จ่ออยู่ เชื่อว่าจะต้องกลับลงมาสร้างฐานใต้ 1538 จุดอีกครั้ง

•ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม (1) ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันสัปดาห์ก่อนซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 6 พันล้านบาท และมียอดซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2 พันล้านบาท ซึ่งสถิติ 3 ปีย้อนหลังซื้อสุทธิเพียง 1-4 พันล้านบาทในเดือนม.ค. (2) ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หากยังคงแข็งค่าขึ้นจะไม่สนับสนุนเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติ (3) ทิศทางราคาน้ำมันดิบ ล่าสุด Brent ยังคงปรับลงทำจุดต่ำสุดแถว US$48 ต่อบาร์เรล แม้จะสามารถรีบาวด์ระหว่างสัปดาห์ แต่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานหลายตัวปรับขึ้นมารอแล้ว (4) การทยอยประกาศผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์นี้โดยเริ่มเห็นจากธนาคารขนาดเล็กก่อน คาดจะยังสะท้อนเศรษฐกิจปี 57 ที่อ่อนแอ (5) ทิศทางค่าเงินรูเบิลของรัสเซีย หลังสถาบันจัดอันดับเครดิต Fitch ได้ปรับลดอันดับเครดิตพันธบัตรรัสเซียถูกปรับลดอันดับเครดิตลงสู่ระดับ BBB- เมื่อวันศุกร์ อันดับต่ำสุดที่สามารถลงทุนได้ อาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้า-ออกในภูมิภาค

•กลยุทธ์การลงทุน

สำหรับการลงทุนระยะสั้น ทยอยขายทำกำไรเมื่อ SET ปรับขึ้นใกล้แนวต้านแถว 1538-1550 จุด สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก หาก SET ปรับตัวลงมาแต่ไม่หลุด 1520 จุด หาจังหวะเลือกเก็งกำไร หุ้นกลุ่มที่มีโมเมนตัมดี (FVC ROJNA BECL TISCO IFEC SAMTEL HOTPOT CFRESH) ที่ outperform ตลาดได้สองสัปดาห์ต่อเนื่อง Laggard play (ADVANC BANPU LH) /กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยปันผลเด่น (AP QH SIRI) /หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร/ความงามที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ (BEAUTY M MC SST)

สำหรับการลงทุนระยะปานกลาง-ยาว ถือครองหุ้นต่อ จังหวะสะสมเพิ่มเกิดขึ้นหาก SET ปรับลดต่ำกว่า 1460 จุด หากยังไม่มีหุ้นอาจทยอยสะสมบางส่วนได้หากราคาหุ้นปรับตัวลงแรง กลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มสายการบิน (NOK) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงถูกลงและเข้าช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหนุนยอดผู้โดยสารระยะสั้น /หุ้นขนาดกลาง-เล็ก (MODERN MFEC SIM SYMC) มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว มี upside และ ปันผลสูงปลอดภัยต่อการลงทุนในภาวะตลาดผันผวน (CPALL M ROBINS) เป็นกลุ่มที่ผลประกอบการจะพลิกฟื้นในปี 58 ตามเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว /ทีวีดิจิทัลที่ Laggard กลุ่ม (GRAMMY) /หุ้นเด่นปี 58 (ADVANC CK GRAMMY HEMRAJ KAMART SNC SPALI TOP)