สื่ออังกฤษชี้ AEC ไม่ช่วย “ไทย” หลังเสียศูนย์จากพิษการเมือง

สื่ออังกฤษชี้ AEC ไม่ช่วย “ไทย” หลังเสียศูนย์จากพิษการเมือง แต่กลุ่มทุนข้ามชาติได้เต็มๆจากละเมิดสิทธิฯในอาเซียน

เอเจนซีส์ – AEC หรือการรวมตัว 10 ชาติในย่านเอเชียแปซิฟิกที่มีประชากรอาศัยรวมกันร่วม 620 ล้านคนเพื่อเป็นตลาดเดียวที่มีมูลค่าสูงถึง 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ที่จะเปิดพรมแดนติดต่อร่วมกันเป็นทางการในปลายปีนี้ แต่ทว่าเดอการ์เดียน สื่ออังกฤษชี้ว่า การรวมตัวทางเศรษฐกิจที่เลียนแบบกลุ่มสหภาพยุโรปนี้ อาจไม่ช่วยประชาชนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจทั้งหมดอาจตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนขนาดยักษ์แทน นอกจากนี้ สื่ออังกฤษยังชี้ ไทยอาจไม่ได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขันจากการรวมตัวของ AEC เพราะโดนพิษการเมืองเล่นงาน ทำให้เสียความได้เปรียบไปให้กับประเทศที่มีการเมืองมั่นคง และค่าแรงถูก รวมไปถึงระบบควบคุมทางธุรกิจที่เอื้อนักลงทุนมากกว่า

เดอะการ์เดียน รายงานวันที่ 3 ก.พ. 2014 ถึงโอกาสและศักยภาพของ AEC การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของ 10ประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มี (1)พม่า (2)บรูไน (3)กัมพูชา (4) อินโดนีเซีย (5)ลาว (6)มาเลเซีย (7)ฟิลิปปินส์ (8)ไทย (9)สิงคโปร์ และ (10)เวียดนาม เป็นสมาชิกในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ที่มีรูปแบบคล้ายสหภาพยุโรป เพื่อหาประโยชน์จากการรวมตัวการค้าตลาดเดียวมูลค่าสูงถึง2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มีประชากรร่วม 620 ล้านคนอาศัย และช่องทางการค้าเสรีที่ทำให้มีศักยภาพในการต่อรองสูงขึ้น ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่า ถึงแม้จะยังไม่มีการเปิดตัวของ AEC อย่างเป็นทางการ แต่กระนั้นความหอมหวลของ AEC สามารถดึงดูดนักลงทุนที่สนใจเข้ามาในภูมิภาคนี้แล้ว

แต่กระนั้นบรรดานักสังเกตการณ์เตือนว่า ในบางส่วนของพื้นที่ หรือแม้กระทั่งทั้งประเทศอาจอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเดิม เนื่องมาจากความเสี่ยงพลเมืองในพื้นที่ที่จะถูกริดรอนสิทธิมนุษยชน รีดเอาหยาดเหงื่อแรงงานและสิทธิที่ควรได้ในฐานะความเป็นมนุษย์ไปให้กับการเติบโตทางตัวเลขเศรษฐกิจของกลุ่มทุนขนาดยักษ์แทน

ทั้งนี้มีการคาดการตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 5 % ต่อปี ของ AECที่มีขนาดตลาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก และถึงขั้นต้องการให้แซงหน้ากลุ่มเศรษฐกิจสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ รวมถึงญี่ปุ่น ไปในท้ายที่สุดก่อนปี 2018 แต่ทว่าเมื่อวิเคราะห์ถึงศักยภาพของแต่ละประเทศสมาชิก สื่ออังกฤษชี้ว่า ทั้ง 10ประเทศมีความแตกต่างเป็นอย่างมากทั้งในด้านการปกครอง สภาพเศรษฐกิจ ระบบการเมืองการปกครอง และภาษาที่ใช้ ทำให้มีความกังวลว่า ความฝันที่จะทำให้ AEC จะเริ่มเปิดได้จริงตามกำหนดภายในสิ้นปีนี้ได้หรือไม่ เมื่อพิจารณาว่า เช่น พม่า ซึ่งเป็นชาติที่จนที่สุดในบรรดา 10ประเทศ ซึ่ง 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ในขณะที่สิงคโปร์ ที่ถือเป็นชาติร่ำรวยที่สุดในกลุ่ม มีพลเมืองถูกจัดอันดับว่าร่ำรวยที่สุดในโลก

มุสตาปา โมฮาเหม็ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาเลเซียกล่าวว่า “ประชาคมโลกธุรกิจต้องการอาเซียนรวมตัวเป็นตลาดเดียว แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีปัญหาอีกมาก เช่น ปัญหาเขตแดน ปัญหาศุลกากร ปัญหาการเดินทางข้ามถิ่น และระบบควบคุมที่ใช้มาตรฐานต่างกัน”

ทั้งนี้มาเลเซีย ที่ถือเป็นประเทศที่ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเลกทรอนิก นั่งเป็นประธานกลุ่ม AEC ที่มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ได้ออกมาเตือนว่า จะไม่มีโอกาสได้เห็นการเคลื่อนย้ายเสรีของสินค้าและบริการข้ามพรมแดนภายใน AEC ก่อนปี 2020 อย่างแน่นอน ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นทางประเทศสมาชิกเพียงแต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับการเปิดใช้จริง”

อย่างไรก็ตาม เดอะการ์เดียนชี้ว่า ถึงแม้จะมีความต่างเป็นอย่างมากในะหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่นี้ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนขยาด แต่ทว่าสื่ออังกฤษไม่คิดว่า AEC จะประสบปัญหาหนี้เน่าเหมือนเช่น EU กำลังเผชิญหน้าอยู่ เป็นเพราะในแต่เริ่มแรก AEC ไม่มีเป้าหมายรวมตัวเพื่อใช้สกุลเงินเดียว และมีรัฐสภายุโรป เช่น สหภาพยุโรป

แต่ทว่าความต่างที่หลากหลายทางสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศสมาชิก ทำให้บางประเทศได้รับผลประโยชน์ไปแล้วจากแนวคิดการรวมตัว AEC แซงหน้าประเทศอื่น ซึ่งจากรายงานล่าสุดของบริษัทกฎหมาย เบเกอร์และแมคเคนซีชี้ว่า สิงคโปร์ยังคงได้รับความไว่วางใจจากธุรกิจข้ามชาติให้เป็นฐานถึง 80 % จากการที่สิงคโปร์เป็นฮับทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ รวมถึงการเป็นตลาดเปิด

นอกจากนี้ยังพบว่า อินโดนีเซีย และพม่าจะเป็นอีก 2 ชาติที่ได้รับประโยชน์ในการเปิด AEC จากการที่ทั้งสองชาติถูกโหวตให้เป็นฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติในอีก 5 ปีข้างหน้า

ซึ่งต่างจากไทยที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ แต่ไทยได้เสียศักยภาพการแข่งขันไปให้กับประเทศที่มีการเมืองมั่นคง และค่าแรงถูก รวมไปถึงระบบควบคุมทางธุรกิจที่เอื้อนักลงทุนมากกว่า ราจีฟ บิสวาซ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แผนกเอเชียแปซิฟิกประจำIHS ให้ความเห็น “ความยุ่งเหยิงทางการเมืองล่าสุดในไทยทำให้ประเทศดูมีความเสี่ยงมากขึ้นในสายตานักลงทุนข้ามชาติ และทำให้คนเหล่านี้ลังเลที่จะนำเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีกครั้ง แต่ในทางตรงกันข้าม เวียดนามจะเห็นการลงทุนต่างชาติมากขึ้น ในการทำสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคของประเทศมีความแข็งแกร่งมากขึ้น รวมไปถึงทำให้ค่าแรงของเวียดนามต่ำลงเพื่อที่จะสามารถสู้กับค่าแรงของจีนได้”

เดอะการเดียนวิเคราะห์ว่า การเติบโตของชุมชนชั้นกลางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะหมายถึงศักภาพตลาดภายในภูมิภาคที่มีกำลังซื้อสูงตามไปด้วย และหากค่าแรงของจีนถูกปรับเพิ่มขึ้น จะกลายเป็นโอกาสสำหรับอาเซียน ซึ่งจะทำให้มีการเติบโตของแรงงานมีฝีมือและไร้ฝีมือตามมาเช่นกัน

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชากร 620 ล้านคนในกลุ่ม AEC เหล่านักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “น่าเป็นห่วง” จากปัญหาการค้าแรงงานทาสที่เป็นปัฯหาสำคัญในภูมิภาคนี้ รวมไปถึงปัญหาแนวคิดก่อการร้าย

ในแถลงการณ์ล่าสุดของกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ใหญ่ที่สุดAsean People’s Forum หรือ APF ได้แจกแจงปัญหาที่เกิดในภูมิภาคนี้ เช่น ละเมิดสิทธิมนุษยชน คอรัปชันและการไร้ประสิทะภาพในการบริหารประเทศ การเข้ายึดครองที่ดินของรัฐ รัฐบาลทหารและเผด็จการ ปัญหาแรงงานทาส ปัญหาการรใช้อำนาจป่าเถื่อนของตำรวจในเครื่องแบบ การขาดธรรมาธิบาลและความรับผิดชอบสังคมของกลุ่มธุรกิจ และที่กลุ่ม APF เป็นกังวลมากขึ้น คือการที่กลุ่มทุนใช้ต้นทุนมนุษย์ของประชาชนในการแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น ในบางประเทศสมาชิก AEC อนุญาตให้บริษัทสามารถฟ้องรัฐบาลหากเกิดข้อขัดแย้งกับกฎหมายท้องถิ่นที่ขวางการทำธุรกิจ ซึ่งการรวมตัวจะทำให้สิทธิของชุมชนในพื้นที่ การขยายขอบเขตการปกป้องแรงงาน หรือการป้องกันมลพิษนั้นอาจต้องหมดไปหากมี AEC เกิดขึ้น และจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล ประชากรรากหญ้าที่อาศัยในชุมชน และบริษัทข้ามชาติ ระบาดไปทั่วAEC ฟิล โรเบิร์ตสัน ( Phil Robertson ) นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนกล่าว

แต่ทว่าในท้ายที่สุด สื่ออังกฤษสรุปท้ายจากความเห็นของนักธุรกิจชั้นนำของพม่า Thaung Su Nyein ว่า การเกิดของ AEC สมควรที่จะต้องให้ความสนใจมากกว่าหวาดระแวง เนื่องจากจะนำการเติบโตทางเศรษฐกิจและการคมนาคมอย่างยั่งยืนมาสู่ภูมิภาค “ คิดว่าเราต่างควรต้อนรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์ ฝึกคน

aec-setlnw-thai2

“เมียนมาร์”ขึ้นแท่นคู่แข่งไทย จับตา”อุตฯสิ่งทอ”

เมียนมาร์ เป็นอีกประเทศที่น่าลงทุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สำหรับผู้ประกอบการที่พยายามมองหาฐานการผลิตเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและรักษาความอยู่รอดของธุรกิจ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมียนมาร์มีความน่าสนใจในฐานะแหล่งลงทุนแหล่งใหม่ที่มีศักยภาพสูงในกลุ่มอาเซียน จากการที่นักลงทุนไทยและต่างชาติ พยายามหาช่องทางเข้าไปทำการค้าการลงทุน เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพ และทิศทางพัฒนาการเชิงบวกของเมียนมาร์หลังเปิดประเทศ

aec-setlnw

เดอะโกลบอลนิวไลท์ออฟเมียนมาร์ หนังสือพิมพ์ทางการของเมียนมาร์รายงานว่า ประเภทของสิ่งทอที่ได้รับความนิยมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ ผ้าฝ้าย ซึ่งปัจจุบันมีราคาที่สูงขึ้นมาก

“4 ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุทำให้ราคาผ้าฝ้ายแพงขึ้นกว่าเมื่อก่อน ได้แก่ ระดับการผลิตที่ต่ำลง, ราคาของวัตถุดิบที่สูงขึ้น,ระบบการขนส่งคมนาคมที่ย่ำแย่ และขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ” นายหม่า ฟู อี๊ เต็ง ศิลปินสิ่งทอจากกลุ่มทานตะวันกล่าว

นอกจากนี้ นายหม่ากล่าวถึงค่านิยมที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมผ้าฝ้ายแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่สามารถสร้างกำไรสูงในเมียนมาร์ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ปีก่อน แม้ราคาของผ้าฝ้ายจะมีราคาสูงขึ้น

แต่ยอดการค้าที่ผ่านมาปรากฏชัดว่า ผ้าฝ้ายแบบดั้งเดิมยังเป็นที่ต้องการ และคาดว่าจะเป็นที่นิยมของประชาชนมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

สำหรับ นายอู ถั่น ตัน (U Than Tun) เจ้าของธุรกิจที่มันฑะเลย์แสดงความคิดเห็นว่า ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าราคาสิ่งทอแบบดั้งเดิมอาจมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการท้องถิ่นมีศักยภาพเพิ่มขึ้นนั่นเอง

ยิ่งกว่านั้น ครูผู้สอนของโรงเรียนสอนทอผ้าของรัฐ เปิดเผยถึงจำนวนตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นของประชากรวัยหนุ่มสาวที่ให้ความสนใจวิชาการเรียนการสอนเกี่ยวกับการทอผ้าและการย้อมสีผ้า ขณะนี้รัฐบาลเมียนมาร์ได้อนุมัติให้เปิดโรงเรียนฝึกสอนการทอผ้าเพิ่มทั้งหมด 14 แห่ง รวมทั้งโรงเรียนการฝึกวิชาชีพโดยเปิดการเรียนการสอนเป็นหลักสูตร 6 เดือน หรือ 12 เดือน เพื่อมุ่งส่งเสริมคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรียนรู้การทอผ้า ย้อมผ้า รวมถึงการออกแบบสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผ้าฝ้าย โดยทางโรงเรียนพร้อมที่จะพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญให้มากขึ้น

แต่ปัญหาที่เมียนมาร์ยังต้องเผชิญอยู่คือ ขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้ประกอบการท้องถิ่นและบุคคลอื่นๆ ที่สนใจ

ขณะที่ นางฟู่ เอ่ย เต็ง หนึ่งในเจ้าของธุรกิจสิ่งทอในเมียนมาร์ เธอมองว่า รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการจัดตั้งโรงเรียนเพิ่มทักษะการทอผ้าและย้อมสีผ้าแบบธรรมชาติ และควรเพิ่มแรงจูงใจต่อการเรียนการสอนด้วยการเปิดระดับปริญญาโท สำหรับวิชาชีพดังกล่าว เพื่อรับรองบุคลากรที่มีศักยภาพในการทำงานหลังเรียนจบ ซึ่งใบประกาศนียบัตรถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการสิ่งทอ เนื่องจากปัจจุบันคนที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการทอผ้าและย้อมสีผ้าแบบธรรมชาตินั้น มีเพียง 10 คนต่อ 1 บริษัทเท่านั้น

นอกจากนี้ นางฟู่ยังเรียกร้องรัฐบาลให้ยกเว้นภาษีสิ่งทอสำหรับกิจการขนาดเล็ก รวมถึงการรักษาคุณภาพและเสถียรภาพของราคาสินค้าให้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เนื่องจากราคาสิ่งทอที่ยังไม่ได้มาตรฐานนั้นมีส่วนทำให้ความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกด้อยลง รวมถึงอุปสรรคสำคัญอย่างการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศด้วย

สำหรับคนท้องถิ่นในเมียนมาร์ เสื้อผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศจะเป็นที่ดึงดูดใจได้มากกว่าเสื้อผ้าที่ผลิตในประเทศ แม้สินค้าสิ่งทอจากเมียนมาร์ส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐ และเมื่อไม่นานมานี้ เกาหลีใต้เริ่มให้ความสนใจสินค้าสิ่งทอแบบดั้งเดิมของเมียนมาร์ แต่รัฐบาลก็พยายามผลักดันการบริโภคสินค้าภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากการนำเข้าสินค้าของต่างประเทศ

สิ่งที่น่าหนักใจสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย หากเมียนมาร์เพิ่มดีกรีความร้อนแรงภาคการผลิตและประสบความสำเร็จในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มให้ดีขึ้นได้ จะสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าแรงที่ยังอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งอาจจะทำให้เมียนมาร์ก้าวเข้าสู่การเป็นคู่แข่งที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดทัดเทียมกับสินค้าไทย เฉกเช่นเวียดนามในระยะที่ผ่านมา งานนี้หากไทยยังนิ่งนอนใจไม่เร่งฝีมือฝีเท้าคงเจอทางตันในไม่ช้า

ญี่ปุ่นเตรียมทำข้อตกลงบินตรงลาว-กัมพูชา

“ญี่ปุ่นเตรียมทำข้อตกลงบินตรงลาว-กัมพูชา เงินลงทุนเขตเศรษฐกิจลาวทะลุ 200 ล้านดอลลาร์ ”
หัวหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน “นายบัวคำ สีสุลัท” รายงานระหว่างการประชุมคณะกรรมการพรรค ฝ่ายเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน ครั้งที่ 3 ว่า การลงทุนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น จำนวนบริษัทที่เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน เพิ่มขึ้นจาก 28 บริษัทในปี 2553 เป็น 52 บริษัทในปัจจุบัน ในจำนวนนี้มี 7 บริษัทที่เริ่มต้นการผลิตแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งสร้างงานให้ประชาชนกว่า 2,000 คน ส่วนมูลค่าการส่งออกจากบริษัทเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 78 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2,574 ล้านบาท ในปีที่แล้ว

setlnw-200

นายบัวคำกล่าวด้วยว่า คณะกรรมการพรรคจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามให้มากขึ้นตลอดช่วงสามปีข้างหน้า เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างชาติให้ได้อย่างน้อย 65 ราย ให้ได้เงินลงทุนรวมกันถึง 600 ล้านดอลลาร์ และจ้างงานประชาชนเพิ่มอีกราว 10,000 คน

ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน เป็นเขตเศรษฐกิจแห่งแรกของประเทศลาวที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2546 เพื่อส่งเสริมการลงทุนทั้งภายใน และต่างประเทศในภาคการผลิต การค้า การบริการ และโลจิสติกส์ให้เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจแบบตลาด โดยรัฐบาลลาวได้ตั้งเป้าให้เขตเศรษฐกิจนี้เป็นตัวขับเคลื่อนที่จะนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากความยากจน และสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม และความทันสมัยภายในปี 2563