ช.การช่างคาดรายได้ปีนี้แตะ3.4หมื่นลบ.

“ช.การช่าง” คาดรายได้ปีนี้แตะ 3.4 หมื่นล้านบาท เล็งถือหุ้นบริษัทใหม่หลังควบ BMCL-BECL สัดส่วน 30%

นายประเสริฐ มริตตนะพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มงานบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดรายได้ปี 2558 จะใกล้เคียงกับปี 2557 ที่มีรายได้ประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากจะรับรู้รายได้จากงานในมือ ประมาณ 30%จากที่มีอยู่ ณ สิ้นปี 2557ที่ 104,928 ล้านบาท ส่วนงานใหม่บริษัทฯ คาดหวังจะได้งานประมาณ 20-25% ในการเข้าประมูลแต่ละโครงการ

ด้านนายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK กล่าวว่า กำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานปี 57 อยู่ที่ราว 10% ขณะที่คาดรายได้ปี57เกินกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปี 57 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) 1.05 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BMCL และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือ BECL ควบรวมเสร็จแล้ว ช.การช่าง จะเข้าไปถือหุ้นบริษัทใหม่ในสัดส่วน 30%จะทำให้บริษัทฯ สามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทใหม่ได้มากขึ้น และได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้นด้วย

โดยการควบรวมระหว่าง BMCL และ BECL จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้ง 2 บริษัท เพราะจะทำให้บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนและคมนาคมแบบครบวงจร สามารถขยายและต่อยอดธุรกิจ มีศักยภาพทางการเงิน การดำเนินงานและการแข่งขันแข็งแกร่งขึ้น สามารถลงทุนและแข่งขันได้ทั้งในและนอกประเทศ โดยเชื่อว่าบริษัทใหม่นี้จะทำให้เกิดผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแก่ผู้ทุกหุ้นทุกราย

“ช.การช่าง ยืนยันที่จะสนับสนุนการควบรวมของ 2 บริษัทอย่างเต็มที่ โดยบริษัทฯ จะซื้อหุ้น BMCL ที่BECL ถืออยู่จำนวน 10% มูลค่า 3,670 ล้านบาท และจะเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านด้วย ภายหลังที่บริษัทใหม่ควบรวมเรียบร้อยแล้ว ช.การช่างจะถือหุ้นบริษัทใหม่ 30%” นายปลิว กล่าว

CKคาดถือหุ้นบริษัทใหม่30%

“ปลิว” คาด ช.การช่างจะถือหุ้นบริษัทใหม่หลัง “BMCL-BECL” จำนวน 30% – เผยรายได้ปี 57 เกิน 3.3 หมื่นลบ.

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จากัด (มหาชน)หรือ CK เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BMCL และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BECL ควบรวมเสร็จแล้ว ช.การช่าง จะเข้าไปถือหุ้นบริษัทใหม่ในสัดส่วน 30% จะทำให้บริษัทฯสามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทใหม่ได้มากขึ้น และได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้นด้วย โดยการควบรวมระหว่าง BMCL และ BECL จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้ง 2 บริษัท เพราะจะทำให้บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนและคมนาคมแบบครบวงจร สามารถขยายและต่อยอดธุรกิจ มีศักยภาพทางการเงิน การดำเนินงานและการแข่งขันแข็งแกร่งขึ้น สามารถลงทุนและแข่งขันได้ทั้งในและนอกประเทศ โดยเชื่อว่าบริษัทใหม่นี้จะทำให้เกิดผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแก่ผู้ทุกหุ้นทุกราย

“ช.การช่าง ยืนยันที่จะสนับสนุนการควบรวมของ 2 บริษัทอย่างเต็มที่ โดยบริษัทฯจะซื้อหุ้น BMCL ที่ BECL ถืออยู่จำนวน 10% มูลค่า 3,670 ล้านบาท และจะเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านด้วย ภายหลังที่บริษัทใหม่ควบรวมเรียบร้อยแล้ว ช.การช่างจะถือหุ้นบริษัทใหม่ 30%” นายปลิว กล่าว

ส่วนการขายหุ้นของบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ให้แก่บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จากัด (มหาชน) หรือ CKP มูลค่ารวม 4,344 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดย CKP ถือว่าได้ซื้อโครงการที่มีความสำคัญและผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ต้องมีภาระการลงทุนที่สูงเกินไป เพราะหากทิ้งไว้จนงานก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการดังกล่าวจะมีราคาที่สูงมาก ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนโครงการที่ CKP จะได้รับต่ำลง ในส่วนของบริษัทฯสามารถรับรู้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวและได้รับกระแสเงินสดเข้าสู่บริษัทฯ

สำหรับการปรับโครงสร้างการลงทุนทั้ง 2 ส่วนนี้ ช.การช่าง มีความมั่นใจว่าจะทำให้บริษัทใหม่ที่ควบรวม BMCL กับ BECL และ CKP มีความแข็งแกร่ง มีศักยภาพที่สูงขึ้น สามารถลงทุนดำเนินงานและพัฒนาโครงการต่างๆ รองรับการเติบโตของตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกจิของภาครัฐในระบบขนส่งมวลชนทั้งทางรางและถนน รวมถึงธุรกิจพลังงาน ซึ่งปัจจุบัน ช.การช่างร่วมกับบริษัทในกลุ่มทั้งหมด รวมถึง TTW ได้จัดเตรียมความพร้อมทุกด้านไว้ครบถ้วน ทั้งทรัพยากรบุคคล การเงิน พันธมิตรต่างๆ พร้อมที่จะลงทุนดำเนินโครงการต่างๆในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพม่าและลาวซึ่งเป็น 2 ประเทศเป้าหมายสำคัญที่มีการเจริญเติบโตของธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นอย่างมาก

นายปลิว กล่าวด้วยว่า กำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานปี 57 อยู่ที่ราว 10% ขณะที่คาดรายได้ในปีก่อนเกินกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปี 57 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) 1.05 แสนล้านบาท

กลุ่ม ช.การช่าง

 

ปรับโครงสร้างกลุ่ม..แล้วมีอะไรใหม่ ?

CK, BECL, BMCL และ CKP ประกาศแผนปรับโครงสร้างบริษัทเมื่อคืนนี้ โดน BECL และ BMCL จะทำการควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ในขณะ CK จะหนุนการควบรวมในครั้งนี้โดยเข้าซื้อ BMCL จาก BECL และซื้อหุ้น BMCL และ/หรือ หุ้น BECL จากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านการควบรวมในครั้งนี้ นอกจากนี้ CK จะขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทไซยะบุรีให้แก่ CKP เพื่อเตรียมทุนสำหรับการเข้าซื้อ BMCL และ BECL รายละเอียดมีดังนี้

BECL และ BMCL จะทำการแลกเปลี่ยนหุ้นระหว่างกันในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมใน BECL ต่อ 8.65537841 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมของ BMCL ต่อ 0.42050530 หุ้นในบริษัทใหม่ ซึ่งหมายถึง 20.58 หุ้น BMCL ต่อ 1 หุ้น BECL

CK จะทำการขายหุ้นทั้งหมด (จำนวน 805 ล้านหุ้น) ในบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ ให้แก่ CKP ในราคา 4,344 ล้านบาท และจะหนุนการควบรวมกิจการโดย: 1) ซื้อหุ้น BMCL จำนวน 2,050 ล้านหุ้นจาก BECL ในราคา 1.79 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 3,670 ล้านบาท และ 2) ซื้อหุ้น BMCL และ/หรือ หุ้น BECL จากผู้ถือหุ้นที่คัดค้านการควบรวมกิจการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม CK จะไม่ซื้อหุ้น BMCL เกิน 8% ของหุ้น BMCL ทั้งหมด และจะไม่ซื้อหุ้น BECL เกิน 10% ของหุ้น BECL ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้าน มูลค่าการซื้อหุ้นรวมจะต้องไม่เกินกว่า 10,000 ล้านบาท

CKP จะทำการเพิ่มทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในสัดส่วน 2.94 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ในราคา 3 บาท (หลังแตกพาร์จาก 5 บาทเป็น 1 บาท) นอกจากนี้ บริษัทจะทำการออกวอร์แรนต์ในอัตราส่วน 1 หุ้นใหม่ต่อ 1 วอร์แรนต์ ด้วยราคาใช้สิทธิ 6 บาท

ความคิดเห็นของเรา

CK ดูจะได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการมากที่สุด เนื่องจากบริษัทจะสามารถขายบริษัทไซยะบุรี (ซึ่งจะรายงานขาดทุนจนถึงปี 2562) ได้ในราคาที่ค่อนข้างดี ในขณะที่เงินสดจากการขายจะถูกนำมาใช้เพื่อซื้อหุ้น BECL (ซึ่งทำกำไรและมีเงินสดจำนวนมาก) และ BMCL (ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงและกำลังพลิกฟื้น) กำไรหลังหักภาษีสุทธิจากการขายบริษัทไซยะบุรีจะอยู่ที่ราวๆ 1.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 0.95 บาทต่อหุ้น เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 32.75 บาท และเปลี่ยนคำแนะนำเป็น ซื้อ !

สำหรับ BECL และ BMCL นั้น การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะให้ประโยชน์แก่ทั้งสองบริษัท โดย BECL มีงบดุลที่แข็งแกร่งแต่มีโอกาสในการลงทุนที่จำกัด ในขณะที่ BMCL มีความจำเป็นที่จะต้องขยายขีดความสามารถทางการเงินสำหรับการลงทุนในอนาคต นอกจากนี้การควบรวมยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพของบริษัทร่วมให้เติบโตได้ในระยะยาวอีกด้วย สัดส่วนการแลกเปลี่ยนหุ้นและราคาปิดวานนี้ชื้ถึงราคา BECL ที่ 49 บาท และราคา BMCL ที่ 2.06 บาท นอกจากนี้เราประเมินว่า BECL จะมีกำไรพิเศษราว 1.2 พันล้านบาทจากการขายหุ้น BMCL เราแนะนำ ซื้อ BECL !

การที่ CKP เข้าซื้อบริษัทไซยะบุรีจาก CK ไม่ใด้เป็นประเด็นใหม่ แต่เราค่อนข้างประหลาดใจที่การเข้าซื้อเร็วกว่าคาดไว้มาก เนื่องจากโครงการดังกล่าวจะยังไม่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์จนกว่าปี 2562 การเสนอขายหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมน่าจะได้เงินราว 5,610 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการเข้าซื้อบริษัทไซยะบุรีที่ราคา 4,344 ล้านบาท นอกจากนี้ CKP มีเงินสดอีกจำนวน 1,800 ล้านบาท และสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 1.95 เท่า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นที่มีต่อสถานะในการเข้าซื้อมากขึ้น การแตก parจะสะท้อนราคาหุ้นใหม่อยู่ที่ 3.90 บาท ส่งผลให้การเสนอขายหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในราคา 3.00 บาทเป็นไปใด้มาก อย่างไรก็ดีผลกระทบจาก dilution จะอยู่ประมาน 30% เราปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ เนื่องจากเราเชื่อว่าโครงการของ CKP ทั้งหมดในปัจจุบันได้สะท้อนมูลค่าหุ้นในขณะนี้แล้ว นอกจากนี้ยังต้องใช้ระยะเวลาอีกนานกว่าที่จะสามารถรวมส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทไซยะบุรีลงในประมาณการของเรา

คาดควบบริษัท BECL – BMCL แล้วเสร็จไตรมาส3 ปีนี้

นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL และ นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เปิดเผยว่า คณะกรรมการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) และ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) มีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2558 เห็นชอบแผนการควบบริษัทระหว่าง BECL และ BMCL เป็นผลจากการศึกษาความเป็นไปได้ของการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตและการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของ BECL และ BMCL ร่วมกัน โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ BECL และ BMCL เพื่อพิจารณาอนุมัติการควบบริษัทตามวิธีการแห่งพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ต่อไป
bmcl-becl-setlnw
ทั้งนี้การควบบริษัทระหว่าง BECL และ BMCL ถือเป็นกลยุทธ์ในการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน โดยคาดว่าการควบบริษัทครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์จากการเพิ่มโอกาสในการขยายและ ต่อยอดธุรกิจ ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของบริษัทใหม่ ทั้งในด้านการเงิน การดำเนินงาน และความสามารถในการแข่งขัน ช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุน ทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้หุ้นของบริษัทจากมุมมองของนักลงทุน นอกจากนี้ การควบบริษัทจะเป็นการผสานจุดแข็งระหว่าง BECL กับ BMCL ซึ่งส่งเสริมประโยชน์ซึ่งกันและกัน ส่งผลให้บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอและมีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และมีศักยภาพพร้อมสำหรับรับโอกาสในการเข้าลงทุนในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในอนาคตอีกด้วย

การจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ BECL และ BMCL มีอัตราส่วน คือ 1 หุ้นเดิมใน BECL ต่อ 8.65537841 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน BMCL ต่อ 0.42050530 หุ้นในบริษัทใหม่ ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการควบบริษัทจะแล้วเสร็จ และสามารถซื้อขายหุ้นของบริษัทใหม่ได้ภายในช่วงไตรมาส 3 ปี 2558

ด้านนายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บมจ. ช.การช่าง หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัททั้งสองแห่งและผู้ถือหุ้นหลัก สนับสนุนการควบบริษัทในครั้งนี้อย่างเต็มที่ และมีความเชื่อมั่นว่าการควบบริษัทนี้จะทำให้บริษัทใหม่มีความแข็งแกร่งในทุกด้าน มีความพร้อมในการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยความเชื่อมั่นดังกล่าว บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) จึงได้แสดงเจตนารมณ์ในการรับซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นที่ไม่ประสงค์ที่จะถือหุ้นต่อโดยลงมติคัดค้านการควบบริษัทในครั้งนี้

CK&BMCL ช.การช่าง Comeback

 

ปั้น CK & BMCL จนเข้าตา “ขาใหญ่ไซด์พันล้าน” หนึ่งในเรื่องแปลกใจของ “ปลิว ตรีวิศวเวทย์”

กลายเป็น “ศูนย์รวมขาใหญ่” ไปเรียบร้อย สำหรับ บมจ.ช.การช่าง หรือ CK และบริษัทในเครือโดยเฉพาะ บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BMCL

เมื่อกวาดตาดูโครงสร้างผู้ถือหุ้น CK จะพบนักลงทุนชื่อดังที่พร้อมใจกันเข้าลงทุนเพียบ ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยโต-อภิชัย เตชะอุบล” ,“เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล”,“เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์”, “วรพรรณ จึงทรัพย์ไพศาล” ภรรยาคู่ใจ “เสี่ยจึง-วิชัย จึงทรัพย์ไพศาล” และ “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” สัดส่วนการถือหุ้น 0.73-0.71-0.69-0.59-0.51 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ตัวเลขวันปิดสมุดทะเบียน ณ วันที่ 9 ก.ย.2557

ส่วนหุ้น BMCL แม้ปัจจุบันจะไม่ปรากฏรายชื่อ “เซียนหุ้นไซส์พันล้าน” แต่เมื่อกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา “เสี่ยปู่-เสี่ยป๋อง-เสี่ยยักษ์-เสี่ยจึง” ควงแขนกันเข้าซื้อ “บิ๊กล็อต BMCL” หลังผู้บริหาร ช.การช่าง บางรายตัดขายหุ้น BMCL ออกมาให้ 1,000 ล้านบาท ราคา 1 บาท

ในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา “ปลิว ตรีวิศวเวทย์” ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ช.การช่าง เคยเปรียบเปรยบริษัทแห่งนี้ไว้ว่า จากนี้ CK จะเหมือน “สองคนในร่างเดียว” ร่างหนึ่ง คือ “ผู้รับเหมา” หรือ Contractor อีกร่างจะเป็น “ผู้พัฒนา” หรือ Developer โดยในร่างผู้รับเหมาวันนี้ทุกคนมั่นใจในตัวเราแล้ว ส่วนในร่างผู้พัฒนาบริษัทได้ฉายแววมาแล้วเมื่อ 25 ปีก่อน หลังเข้าไปลงทุนในระบบสาธาณูปโภคต่างๆ

ล่าสุด “แม่ทัพใหญ่” ออกมาเรียกเรตติ้งอีกรอบว่า รายได้ 30,000 ล้านบาท คือ เป้าหมายในปี 2558 หากเทียบกับปี 2557 จะเห็นว่ามีตัวเลขลดลง นั่นเป็นเพราะว่า ในปีนี้บริษัทมีรายได้พิเศษจากการขายหุ้นสามัญของบมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BMCL จำนวน 1,025 ล้านหุ้น แต่หากไม่คิดรายได้พิเศษรายได้รวมจะออกมาใกล้เคียงปี 2557

ส่วนเรื่องแผนลงทุนในปีหน้า บริษัทจะเดินหน้าประมูลงานภาครัฐต่อไป เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ส่วนต่อขยาย) โครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ และโครงการถนนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น

นอกจากนั้นบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่นขนาดเล็ก หรือ SPP กับบริษัทในเครืออย่างบมจ.ซีเค พาวเวอร์ หรือ CKP เพื่อขายไฟฟ้าให้กับโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ขณะเดียวกันยังจะร่วมมือกับบมจ.ทีทีดับบลิว หรือ TTW ศึกษาการลงทุนน้ำประปาในประเทศพม่า กำลังการผลิต 10,000 ลูกบาศก์เมตร มูลค่าลงทุนไม่เกิน 500 ล้านบาท

จะใช่เหตุผลนี้หรือไม่ที่ทำให้ “เหล่าเซียนหุ้น” พร้อมใจกันเข้าช้อนหุ้น CK และ BMCL

“เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เคลียร์เรื่องการลงทุนในหุ้น CK และ BMCL ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า มีโอกาสเข้าไปรับฟังข้อมูลของ CK เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา หลังบริษัทเดินสายโรดโชว์ตามบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ทำให้เห็นว่า หุ้น CK มีอนาคตที่ดี หลังบริษัทในเครือหลายๆตัวของ CK สร้างผลงานที่ดี ถือเป็น “อภิชาตบุตร” ของแม่ (หัวเราะ)

“ผมลงทุนหุ้น CK มานานแล้ว ตั้งแต่ราคายังยืน 18 บาท ออกแนวเล่นตามสัญญาณเทคนิค เมื่อก่อนเคยมีหุ้น CK เกือบ 20 ล้านหุ้น”

ส่วนหุ้น BMCL เพิ่งได้มาจากการทำบิ๊กล็อตแค่ 10 ล้านหุ้น เรียกว่า ได้น้อยมาก เท่าที่ดูๆหุ้น BMCL มีสัญญาณกราฟเป็นขาขึ้น ตั้งใจจะถือรออนาคต แต่ระหว่างทางก็มีตัดขายกำไรล็กน้อย ส่วนตัวเชื่อว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า เมื่อส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสีม่วงแ ล้วเสร็จจะทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นผลประกอบการของ BMCL จะเติบโตแบบก้าวกระโดดแน่นอน

ด้าน “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” บอกว่า CK ถือเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตไปเรื่อยๆ ต่อไปธุรกิจก่อสร้างของ CK จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย แต่ธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทจะกลายเป็นตัวที่ทำให้เงินของกลุ่ม เห็นได้จากบริษัทลูกที่มีผลประกอบการที่ดีทุกตัว ส่วนตัวตั้งใจจะถือลงทุนหุ้น CK ในระยะยาว เพราะอนาคตภาครัฐจะมีการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนหุ้น BMCL เหตุผลที่ตัดสินใจร่วมทำบิ๊กล็อก เพราะมองว่าอนาคตจะดี วันนี้รถไฟฟ้าได้กลายเป็นความจำเป็นในการเดินทางไปแล้ว แม้ตอนนี้บริษัทจะยังมีผลขาดทุน แต่เชื่อว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า “หุ้นตัวนี้จะสวย” เมื่อจำนวนผู้สารเพิ่มขึ้นในระบบ แน่นอนบริษัทจะพลิกมีกำไร

“ปัจจุบันกำลังสนใจหุ้นตัวอื่นๆในเครือ CK อาทิ หุ้น ซีเค พาวเวอร์ หรือ CKP เพราะบริษัทมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ แต่ตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่”

“พงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บมจ.ช.การช่าง ถือโอกาสตอกย้ำคำพูดของนายว่า เมื่อก่อนนักลงทุนเมินหน้าหนีเรา นั่นเป็นเพราะหลายคนไม่แน่ใจว่า บริษัททำธุรกิจอะไรกันแน่ แถมยังมีหนี้สินจำนวนมาก แต่หลังจากรูปแบบธุรกิจมีความชัดเจนมากขึ้น และนักลงทุนเริ่มรับรู้แล้วว่า หนี้จำนวนมากของบริษัทไม่ใช่หนี้ที่ก่อภาระ แต่เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้และกำไร แถมเป็นกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จะเห็นนักลงทุนรายใหญ่จะเข้ามาถือหุ้น CK และบริษัทในเครือบางตัว

ที่ผ่านมาบริษัทพยายามอธิบายหลายๆเรื่องให้นักลงทุนฟัง โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินที่ไม่ก่อภาระ เรื่องผลประกอบการในอนาคต เรื่องกลยุทธ์การลงทุนผ่านบริษัทลูกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ หรือ BECL, บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BMCL, บมจ.ทีทีดับบลิว หรือ TTW และ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ หรือ CKP สัดส่วน 15.15-30.19-19.04-31.78 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งเราตั้งใจจะบอกว่าบริษัทเหล่านั้น คือ outstanding ของบริษัท

“นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นบริษัทแสดงให้เห็นว่า หุ้น CK มีพื้นฐานที่ดี”

“ประเสริฐ มริตตนะพร” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มงานบริหาร บมจ.ช.การช่าง พูดเสริมว่า ก่อนหน้านี้มีโอกาสพบผู้ถือหุ้น CK ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนแนว value investing หรือ VI แตกต่างจากอดีตที่แทบไม่มีนักลงทุน VI สนใจหุ้น CK เลย แต่ครั้งนี้มีคนเข้ามาจับจองที่นั่งจนเต็มห้อง เมื่อก่อนหุ้น CK จะมีแต่นักลงทุนสถาบันในและนอกประเทศถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่

เหตุผลที่นักลงทุน VI เริ่มสนใจเรามากขึ้น ก็อย่างที่บอก CK และบริษัทในเครือสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้แล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ BMCL ไม่ค่อยไปไหน เพราะหลายคนวิเคราะห์ว่า คง “เจ๊ง” ลองกลับมาดูราคาตอนนี้แทบอยากจะร้องไห้ ปัจจุบันหุ้น CK และ BMCL ถือเป็น “หุ้นฮอตฮิต” เพราะมีแต่นักลงทุนสถาบันและรายใหญ่เข้ามาลงทุน วันนี้ราคาหุ้น BMCL ติดลมบนไปแล้ว

“เรื่องแปลกใจของ CK คือ การมีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นของเราจำนวนมาก แถมยังมีนักลงทุนสถาบันถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ไม่เคยมีเลย หลังเขามองว่าหุ้นเรามีความเสี่ยง วันนี้มันถึงเวลาที่เราจะโชว์ผลงานแล้ว”

ปัจจุบันบริษัทในเครือทุกตัว ขยันส่งกำไรกลับคืนมาให้กับ CK เมื่อเป็นเช่นนั้นหุ้นใหญ่คงไม่คิดขายหุ้น CK และลูกๆให้กับใคร หากคิดจากสัดส่วนการลงทุนใน 4 บริษัทในเครือเท่ากับว่า CK เข้าไปลงทุนแล้วประมาณ 31,000 ล้านบาท มูลค่าลงทุนนี้เป็นตัวเลขเดียวกับที่บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เคยประเมินไว้

ที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้เป็นตัวช่วยสำคัญในการผลักดันทั้งในแง่ของ “กำไรสุทธิ” และ “กำไรจากเงินปันผล” ให้กับบริษัทมาตลอด แถมยังเป็นพันธมิตรที่พร้อมจะก้าวขาไปลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า น้ำประปา เขื่อน และพลังงานไฟฟ้า ทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ เพื่อรองรับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปลายปี 2558 ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะช่วยทำให้การเข้าลงทุนต่างๆของ CK ง่ายขึ้น และยังทำให้เรามีภาระการลงทุนน้อยลงด้วย

ที่ผ่านมา “ช.การช่าง” รับรู้ “กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน” มาแล้วหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการขายหุ้น TTW จำนวน 2,203.2 ล้านบาท โดยได้จำหน่ายออกไปในสัดส่วน 11 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นละ 7.55 บาท ล่าสุดบริษัทได้ขายหุ้นBMCL จำนวน 1,025 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.65 บาท รวมมูลค่า 1,691 ล้านบาท ทำให้บริษัทรับรู้กำไรจากการขายครั้งนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะบันทึกกำไรดังกล่าวในช่วงไตรมาส 3 ปี 2557

“กลยุทธ์ดี พันธมิตรแกร่ง” ปัจจัยเหล่านี้ทำให้บริษัทมีวันนี้ พันธมิตรทั้งหมดเราเป็นผู้ปลุกปั้นเองกับมือ ไม่ว่าจะเป็น “ทางด่วนกรุงเทพ-ทีทีดับบลิว-รถไฟฟ้ากรุงเทพ-ซีเค พาวเวอร์” ทั้งหมดนี้คือ โครงสร้างสำคัญของ ช.การช่าง ฉะนั้นยังไม่คิดจะขายหุ้นออกหมด เขาย้ำ แต่อาจมีการปรับพอร์ตลงทุนบ้างเล็กน้อย “พงษ์สฤษดิ์” พูดตบท้าย

โชว์แผน 5 ปี

“พงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล” บอกว่า ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า (2557-2561) เราจะพยายามผลักดันรายได้ให้ขยายตัวปีละ 10-15 เปอร์เซ็นต์ วันนี้การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยยังขาดอยู่มาก ฉะนั้นยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกเยอะ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการลงทุนไปในประเทศพม่าและลาวที่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน เพียงแต่ปัจจุบันรัฐบาลของทั้งสองประเทศยังไม่มีงบประมาณเพียงพอในการลงทุน

 

“ในปี 2559 บริษัทอาจมีรายได้แตะ 40,000 ล้านบาท เนื่องจากงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจะเริ่มมีการเปิดประมูล โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและบุคคลากรไว้เรียบร้อยแล้ว”

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2558 คาดว่ารายได้อาจยืนระดับ 30,000 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2557 เนื่องจากในปี 2557 บริษัทมีรายได้พิเศษจากการขายหุ้น BMCL ออกไป 1,025 ล้านหุ้น แต่หากตัดเรื่องรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในปี 2557 ออกไปปีนี้บริษัทจะมีรายได้รวมกว่า 33,000 ล้านบาท หลังได้รับงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ปริมาณงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นปี 2557 อยู่สูงถึง 100,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพของบริษัทเป็นอย่างดี

ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญารับงานก่อสร้างใหม่ 3 งาน มูลค่า 7,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น (เฟส 2) มูลค่า 4,310 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะลงนามสัญญาว่าจ้างกับบมจ.ซีเค พาวเวอร์ ในวันที่ 10 พ.ย.2557 ครอบคลุมงานออกแบบ จัดหาและติดตั้งระบบโรงไฟฟ้า มีระยะเวลาดำเนินงาน 29 เดือน

โครงการก่อสร้างขยายกำลังการผลิตโรงผลิตน้ำประปา พื้นที่สมุทรสาคร-นครปฐม ครอบคลุมงานออกแบบ จัดหาและติดตั้งโรงผลิตน้ำประปา ระยะเวลาดำเนินงาน 24 เดือน มูลค่า 2,910 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างขยายกำลังการผลิตน้ำประปาพื้น ปทุมธานี-รังสิต ระยะเวลาดำเนินงาน 12 เดือน มูลค่า 370 ล้านบาท รวมมูลค่า 3,280 ล้านบาท โดยบริษัทจะลงนามสัญญาว่าจ้างกับบมจ.ทีทีดับบลิว ในวันที่ 23 ธ.ค.2557

“รายได้รวมในไตรมาส 3/57 คาดจะสูงกว่า 9,000 ล้านบาท เนื่องจากงานก่อสร้างที่เป็นรายได้หลักมีความคืบหน้าเป็นอย่างดี และบริษัทอาจมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานที่ 8-10 เปอร์เซ็นต์ และจะมีรายได้พิเศษจากการขายหุ้น BMCL อีกกว่า 1,000 ล้านบาท รวมถึงเงินปันผลที่บริษัทไปลงทุนไว้กว่า 300 ล้านบาท”

สำหรับแผนงานในปี 2558 บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลโครงการของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) มูลค่า 25,000 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงปากเกร็ด-หลักสี่-มีนบุรี-สุวินทวงศ์) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี) รวมถึงบริษัทมีความพร้อมเข้ารับงานโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ โดยคาดหวังจะได้งานอย่างน้อย 1 เส้นทาง และโครงการถนนมอเตอร์เวย์

นอกจากนั้นบริษัทคาดว่าจะได้รับงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ส่วนต่อขยาย) มูลค่างาน 20,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจากทางภาครัฐว่าจะใช้วิธีประมูล หรือเจรจาตรงกับ BMCL คาดว่าจะได้ความชัดเจนอย่างเร็วที่สุดภายในปีนี้หรืออย่างช้าต้นปีหน้า หากรัฐบาลสามารถสรุปได้ทันภายในปีนี้ งานก่อสร้างคงแล้วเสร็จภายในปี 2560 และจะเดินเครื่องในปี 2561

เขา บอกว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนทั้งในและนอกประเทศเพิ่มเติม โดยในประเทศก็จะเป็นลักษณะของการเดินไปข้างหน้าพร้อมกับงานของภาครัฐที่จะมีออกมา ส่วนงานต่างประเทศบริษัทก็ได้เข้าไปเป็นพันธมิตรกับ TTW เพื่อพัฒนาโครงการน้ำประปา ประเทศพม่า คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2558 เบื้องต้นคงใช้เงินลงทุนไม่เกิน 500 ล้านบาท รวมถึงร่วมกับ CKP ศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีหน้าเช่นกัน

สำหรับในส่วนของงานก่อสร้างที่บริษัทดำเนินการอยู่ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างดีตามแผนงาน เช่น โครงการก่อสร้างทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวน มีความก้าวหน้า 23 เปอร์เซ็นต์ โครงการผลิตไฟฟ้าไซยะบุรี มีความก้าวหน้า 45 เปอร์เซ็นต์ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ มีความก้าวหน้า 48 เปอร์เซ็นต์

โครงการที่เป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมากในขณะนี้ คือ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำ เงิน มีความก้าวหน้า 59 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งขณะนี้งานขุดเจาะอุโมงค์รถไฟฟ้าอยู่ระหว่างลอดแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะทำการขุดเจาะอุโมงค์แล้วเสร็จครบทั้ง 2 อุโมงค์ในปลายปี 2558 และโครงการจัดซื้อรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีความก้าวหน้า 99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งบริษัทได้ว่าจ้างบริษัท J-Trec ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตขบวนรถไฟฟ้า ขณะนี้ได้เริ่มผลิตแล้ว คาดว่าจะส่งขบวนรถขบวนแรกมาถึงเมืองไทยในช่วงเดือนต.ค. 2558 มีความก้าวหน้ารวม 12 เปอร์เซ็นต์

set-lnw-ช.การช่าง

“ในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้เดินทางไปโรดโชว์ประเทศฮ่องกง ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยนักลงทุนให้ความสนใจในกลยุทธ์การดำเนินงานและการลงทุนของบริษัท เพราะปัจจัยเหล่านั้นทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรมั่นคง และมีศักยภาพที่จะเข้าร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ กับภาครัฐและเอกชนสูงกว่าบริษัทก่อสร้างปกติ”