สื่ออังกฤษชี้ AEC ไม่ช่วย “ไทย” หลังเสียศูนย์จากพิษการเมือง

สื่ออังกฤษชี้ AEC ไม่ช่วย “ไทย” หลังเสียศูนย์จากพิษการเมือง แต่กลุ่มทุนข้ามชาติได้เต็มๆจากละเมิดสิทธิฯในอาเซียน

เอเจนซีส์ – AEC หรือการรวมตัว 10 ชาติในย่านเอเชียแปซิฟิกที่มีประชากรอาศัยรวมกันร่วม 620 ล้านคนเพื่อเป็นตลาดเดียวที่มีมูลค่าสูงถึง 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ที่จะเปิดพรมแดนติดต่อร่วมกันเป็นทางการในปลายปีนี้ แต่ทว่าเดอการ์เดียน สื่ออังกฤษชี้ว่า การรวมตัวทางเศรษฐกิจที่เลียนแบบกลุ่มสหภาพยุโรปนี้ อาจไม่ช่วยประชาชนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจทั้งหมดอาจตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนขนาดยักษ์แทน นอกจากนี้ สื่ออังกฤษยังชี้ ไทยอาจไม่ได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขันจากการรวมตัวของ AEC เพราะโดนพิษการเมืองเล่นงาน ทำให้เสียความได้เปรียบไปให้กับประเทศที่มีการเมืองมั่นคง และค่าแรงถูก รวมไปถึงระบบควบคุมทางธุรกิจที่เอื้อนักลงทุนมากกว่า

เดอะการ์เดียน รายงานวันที่ 3 ก.พ. 2014 ถึงโอกาสและศักยภาพของ AEC การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของ 10ประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มี (1)พม่า (2)บรูไน (3)กัมพูชา (4) อินโดนีเซีย (5)ลาว (6)มาเลเซีย (7)ฟิลิปปินส์ (8)ไทย (9)สิงคโปร์ และ (10)เวียดนาม เป็นสมาชิกในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ที่มีรูปแบบคล้ายสหภาพยุโรป เพื่อหาประโยชน์จากการรวมตัวการค้าตลาดเดียวมูลค่าสูงถึง2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มีประชากรร่วม 620 ล้านคนอาศัย และช่องทางการค้าเสรีที่ทำให้มีศักยภาพในการต่อรองสูงขึ้น ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่า ถึงแม้จะยังไม่มีการเปิดตัวของ AEC อย่างเป็นทางการ แต่กระนั้นความหอมหวลของ AEC สามารถดึงดูดนักลงทุนที่สนใจเข้ามาในภูมิภาคนี้แล้ว

แต่กระนั้นบรรดานักสังเกตการณ์เตือนว่า ในบางส่วนของพื้นที่ หรือแม้กระทั่งทั้งประเทศอาจอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเดิม เนื่องมาจากความเสี่ยงพลเมืองในพื้นที่ที่จะถูกริดรอนสิทธิมนุษยชน รีดเอาหยาดเหงื่อแรงงานและสิทธิที่ควรได้ในฐานะความเป็นมนุษย์ไปให้กับการเติบโตทางตัวเลขเศรษฐกิจของกลุ่มทุนขนาดยักษ์แทน

ทั้งนี้มีการคาดการตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 5 % ต่อปี ของ AECที่มีขนาดตลาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก และถึงขั้นต้องการให้แซงหน้ากลุ่มเศรษฐกิจสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ รวมถึงญี่ปุ่น ไปในท้ายที่สุดก่อนปี 2018 แต่ทว่าเมื่อวิเคราะห์ถึงศักยภาพของแต่ละประเทศสมาชิก สื่ออังกฤษชี้ว่า ทั้ง 10ประเทศมีความแตกต่างเป็นอย่างมากทั้งในด้านการปกครอง สภาพเศรษฐกิจ ระบบการเมืองการปกครอง และภาษาที่ใช้ ทำให้มีความกังวลว่า ความฝันที่จะทำให้ AEC จะเริ่มเปิดได้จริงตามกำหนดภายในสิ้นปีนี้ได้หรือไม่ เมื่อพิจารณาว่า เช่น พม่า ซึ่งเป็นชาติที่จนที่สุดในบรรดา 10ประเทศ ซึ่ง 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ในขณะที่สิงคโปร์ ที่ถือเป็นชาติร่ำรวยที่สุดในกลุ่ม มีพลเมืองถูกจัดอันดับว่าร่ำรวยที่สุดในโลก

มุสตาปา โมฮาเหม็ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาเลเซียกล่าวว่า “ประชาคมโลกธุรกิจต้องการอาเซียนรวมตัวเป็นตลาดเดียว แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีปัญหาอีกมาก เช่น ปัญหาเขตแดน ปัญหาศุลกากร ปัญหาการเดินทางข้ามถิ่น และระบบควบคุมที่ใช้มาตรฐานต่างกัน”

ทั้งนี้มาเลเซีย ที่ถือเป็นประเทศที่ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเลกทรอนิก นั่งเป็นประธานกลุ่ม AEC ที่มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ได้ออกมาเตือนว่า จะไม่มีโอกาสได้เห็นการเคลื่อนย้ายเสรีของสินค้าและบริการข้ามพรมแดนภายใน AEC ก่อนปี 2020 อย่างแน่นอน ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นทางประเทศสมาชิกเพียงแต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับการเปิดใช้จริง”

อย่างไรก็ตาม เดอะการ์เดียนชี้ว่า ถึงแม้จะมีความต่างเป็นอย่างมากในะหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่นี้ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนขยาด แต่ทว่าสื่ออังกฤษไม่คิดว่า AEC จะประสบปัญหาหนี้เน่าเหมือนเช่น EU กำลังเผชิญหน้าอยู่ เป็นเพราะในแต่เริ่มแรก AEC ไม่มีเป้าหมายรวมตัวเพื่อใช้สกุลเงินเดียว และมีรัฐสภายุโรป เช่น สหภาพยุโรป

แต่ทว่าความต่างที่หลากหลายทางสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศสมาชิก ทำให้บางประเทศได้รับผลประโยชน์ไปแล้วจากแนวคิดการรวมตัว AEC แซงหน้าประเทศอื่น ซึ่งจากรายงานล่าสุดของบริษัทกฎหมาย เบเกอร์และแมคเคนซีชี้ว่า สิงคโปร์ยังคงได้รับความไว่วางใจจากธุรกิจข้ามชาติให้เป็นฐานถึง 80 % จากการที่สิงคโปร์เป็นฮับทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ รวมถึงการเป็นตลาดเปิด

นอกจากนี้ยังพบว่า อินโดนีเซีย และพม่าจะเป็นอีก 2 ชาติที่ได้รับประโยชน์ในการเปิด AEC จากการที่ทั้งสองชาติถูกโหวตให้เป็นฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติในอีก 5 ปีข้างหน้า

ซึ่งต่างจากไทยที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ แต่ไทยได้เสียศักยภาพการแข่งขันไปให้กับประเทศที่มีการเมืองมั่นคง และค่าแรงถูก รวมไปถึงระบบควบคุมทางธุรกิจที่เอื้อนักลงทุนมากกว่า ราจีฟ บิสวาซ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แผนกเอเชียแปซิฟิกประจำIHS ให้ความเห็น “ความยุ่งเหยิงทางการเมืองล่าสุดในไทยทำให้ประเทศดูมีความเสี่ยงมากขึ้นในสายตานักลงทุนข้ามชาติ และทำให้คนเหล่านี้ลังเลที่จะนำเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีกครั้ง แต่ในทางตรงกันข้าม เวียดนามจะเห็นการลงทุนต่างชาติมากขึ้น ในการทำสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคของประเทศมีความแข็งแกร่งมากขึ้น รวมไปถึงทำให้ค่าแรงของเวียดนามต่ำลงเพื่อที่จะสามารถสู้กับค่าแรงของจีนได้”

เดอะการเดียนวิเคราะห์ว่า การเติบโตของชุมชนชั้นกลางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะหมายถึงศักภาพตลาดภายในภูมิภาคที่มีกำลังซื้อสูงตามไปด้วย และหากค่าแรงของจีนถูกปรับเพิ่มขึ้น จะกลายเป็นโอกาสสำหรับอาเซียน ซึ่งจะทำให้มีการเติบโตของแรงงานมีฝีมือและไร้ฝีมือตามมาเช่นกัน

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชากร 620 ล้านคนในกลุ่ม AEC เหล่านักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “น่าเป็นห่วง” จากปัญหาการค้าแรงงานทาสที่เป็นปัฯหาสำคัญในภูมิภาคนี้ รวมไปถึงปัญหาแนวคิดก่อการร้าย

ในแถลงการณ์ล่าสุดของกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ใหญ่ที่สุดAsean People’s Forum หรือ APF ได้แจกแจงปัญหาที่เกิดในภูมิภาคนี้ เช่น ละเมิดสิทธิมนุษยชน คอรัปชันและการไร้ประสิทะภาพในการบริหารประเทศ การเข้ายึดครองที่ดินของรัฐ รัฐบาลทหารและเผด็จการ ปัญหาแรงงานทาส ปัญหาการรใช้อำนาจป่าเถื่อนของตำรวจในเครื่องแบบ การขาดธรรมาธิบาลและความรับผิดชอบสังคมของกลุ่มธุรกิจ และที่กลุ่ม APF เป็นกังวลมากขึ้น คือการที่กลุ่มทุนใช้ต้นทุนมนุษย์ของประชาชนในการแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น ในบางประเทศสมาชิก AEC อนุญาตให้บริษัทสามารถฟ้องรัฐบาลหากเกิดข้อขัดแย้งกับกฎหมายท้องถิ่นที่ขวางการทำธุรกิจ ซึ่งการรวมตัวจะทำให้สิทธิของชุมชนในพื้นที่ การขยายขอบเขตการปกป้องแรงงาน หรือการป้องกันมลพิษนั้นอาจต้องหมดไปหากมี AEC เกิดขึ้น และจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล ประชากรรากหญ้าที่อาศัยในชุมชน และบริษัทข้ามชาติ ระบาดไปทั่วAEC ฟิล โรเบิร์ตสัน ( Phil Robertson ) นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนกล่าว

แต่ทว่าในท้ายที่สุด สื่ออังกฤษสรุปท้ายจากความเห็นของนักธุรกิจชั้นนำของพม่า Thaung Su Nyein ว่า การเกิดของ AEC สมควรที่จะต้องให้ความสนใจมากกว่าหวาดระแวง เนื่องจากจะนำการเติบโตทางเศรษฐกิจและการคมนาคมอย่างยั่งยืนมาสู่ภูมิภาค “ คิดว่าเราต่างควรต้อนรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์ ฝึกคน

aec-setlnw-thai2

หุ้น UREKA เพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ฟรี 2:1

ผู้ถือหุ้น UREKA “ยูเรกา ดีไซน์”ไฟเขียวเพิ่มทุน-แจกวอร์แรนต์ฟรี 2:1

ureka

ผู้ถือหุ้น “ยูเรกา ดีไซน์” ไฟเขียวเพิ่มทุนขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 4:1 ที่ ราคา 1.15 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ฟรี ในอัตราส่วน 2:1 ด้าน “นรากร ราชพลสิทธิ์” เผยเตรียมนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจตามแผน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้ “เทิร์นอะราวนด์” ปักธงรายได้รวมแตะ 800 ล้านบาท มั่นใจอุตสาหกรรมยานยนต์ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมลุยตลาดต่างประเทศเต็มสูบ เพื่อกระจายฐานรายได้

นายนรากร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2558 มีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีก จำนวน 78,625,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 314,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 85 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่เป็น จำนวน 163,625,000 บาท

ทั้งนี้ ได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 85 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายในคราวเดียวกัน หรือต่างคราวกันให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในอัตรา 4 หุ้นเดิมได้ 1 หุ้นใหม่ ราคาจองซื้อ 1.15 บาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 212,500,000 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นที่ออกใหม่ ที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิฟรี อายุ 2 ปี ราคาการใช้สิทธิเท่ากับหุ้นละ 0.50 บาท

นอกจากนี้ ยังจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 17 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่บริษัทจะแจกฟรีให้แก่พนักงานของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย ภายใต้โครงการการเสนอขายหลักทรัพย์ให้แก่พนักงานของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย (ESOP Scheme) โดยไม่มีราคาเสนอขาย อายุไม่เกิน 3 ปี อัตราการใช้สิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น ราคาการใช้สิทธิเท่ากับหุ้นละ 1.50 บาท

“วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินเพิ่มทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และเพื่อใช้รองรับและเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อย สร้างโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยั่งยืนในอนาคต และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว” นายนรากร กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2558 จะกลับมาเทิร์นอะราวนด์ โดยตั้งเป้ารายได้รวมที่ 800 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยที่ผ่านมา เราได้ปรับกลยุทธ์และเตรียมความพร้อมรับมือ พร้อมกับกระจายฐานรายได้สู่ตลาดต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศ โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปีนี้ที่คาดมีสัดส่วน 2% ของรายได้รวม

โบรกฯคาด หุ้นไทยปลาย Q1 ยืนเหนือ 1,600 จุด – รับอานิสงส์น้ำมันถูก

KSecurities เอาใจนักลงทุนออนไลน์เปิดตัว KS Super Stock แอปพลิเคชันครบวงจรเพื่อการลงทุนทั้ง ข่าวสาร และบทวิเคราะห์ ตลอดจนถึงกราฟเทคนิครองรับทั้ง iOS และ Andriod คาดยอดดาวน์โหลดแตะ 50,000 ส่วน “เผดิมภพ” ฟันธงหุ้นไทยจะทะยานยืนเหนือ 1,600 จุดได้อย่างชัดเจนในปลายไตรมาส 1 คาดไตรมาส 2-3 มีโอกาสแตะ 1,700 จุด แนะนักลงทุนเล็งหุ้นกลุ่มโรงกลั่น นิคมอุตสาหกรรม กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รับอานิสงส์น้ำมันช่วงราคาลง

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัว KS Super Stock – Mobile Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันด้านการลงทุนแบบครบวงจรแบบเรียลไทม์ ทั้งด้านข่าวสาร และบทวิเคราะห์ ตลอดจนถึงกราฟเทคนิค เพื่อให้นักลงทุนสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน ในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่งรองรับทั้งในระบบปฏิบัติการ iOS และ Andriod

“บล.กสิกรไทย มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นดิจิตอล โบรกเกอร์ โดยมีความพร้อมในเรื่องบุคลากร และศักยภาพของข้อมูลที่ให้กับลูกค้า จะเห็นได้ว่าจำนวนลูกค้าปัจจุบันทั้งหมดที่ 74,000 บัญชี มีสัดส่วนการซื้อขายออนไลน์ถึง 59% เราจึง และสัดส่วนการซื้อขายหุ้นออนไลน์ในตลาดหลักทรัพย์มีมากถึงกว่า 50% ทั้งนี้ คาดว่าหลังเปิดให้มีการดาวน์โหลดโปรแกรมแอปพลิเคชัน KS Super Stock ออกไปในช่วง 4 เดือนแรก จะมีผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 50,000 ราย ซึ่งบริษัทฯ จะมีการพัฒนาฟังก์ชันต่างๆ ในอนาคตเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนให้มากที่สุด”

ขณะที่นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการสายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะนี้คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ 1,567-1,600 จุด ซึ่งมีโอกาสทะลุเกิน 1,600 จุด ในต้นเดือนมีนาคมตามการฟื้นตัว จากการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 4 อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก ทำให้แนวโน้มที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาในไทยและตลาดหุ้นกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เป้าหมายดัชนีฯ ในไตรมาส 2-3 ประมาณการไว้ที่ 1,710 จุด บนอัตราส่วนต่อกำไร (P/E Ratio) ที่ 15 เท่า

อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับพลังงาน เช่น กลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากจะได้รับอานิสงส์จากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมีผลบวกต่อต้นทุนการกลั่น รวมไปถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์จากพลังงานราคาถูก อีกทั้งกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะได้รับประโยชน์จากบีโอไอ ตลอดจนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐ

ตลท. ปลื้มสกัดหุ้นร้อนได้อยู่หมัด

ตลท. ปลื้มสกัดหุ้นร้อนได้อยู่หมัด ไม่กระทบวอลุ่มอย่าที่วิตกกัน ลั่นคุมหุ้น BAY ใช้มาตรฐานเดียวกัน

ตลท. ปลื้มใช้มาตรการสกัดหุ้นร้อนได้ผล เผยช่วยลดหมุนรอบเก็งกำไร และยังทำให้วอลุ่มสูงขึ้น ไม่ได้เกิดผลกระทบในแง่ลบต่อดัชนีหรือปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อย่างที่มีผู้กังวลกันก่อนหน้านี้ ยันกรณีหุ้น BAY พุ่งร้อนแรงจนมีผลต่อดัชนีฯ ตลท. ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับหุ้นตัวอื่นทุกตัว และไม่มีการเลือกปฏิบัติจนทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน

นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานกำกับตลาดและดูแลสายงานกฎหมาย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มาตรการที่ ตลท.นำมาใช้สกัดหุ้นร้อนตั้งแต่ 5 ม.ค.58 ทำให้การหมุนรอบของการเก็งกำไรหุ้นที่เกิดความเคลื่อนไหวของราคาผิดปกติลดลง ขณะที่ไม่ได้เกิดผลกระทบในแง่ลบต่อดัชนีหรือปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยอย่างที่มีผู้กังวลกันก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ตลท.พบว่า ตั้งแต่เริ่มใช้มาตรการจนถึงปัจจุบันการหมุนรอบของการเก็งกำไรของหุ้นร้อนลดลงเหลือเฉลี่ยต่ำกว่า 1% จากไตรมาส 4/57 อยู่ที่ 2-3% ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในเดือน ม.ค.58 เพิ่มขึ้นเป็น 5.2-5.3 หมื่นล้านบาท และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 4-5% ทำให้มั่นใจได้ว่าการใช้มาตรการดังกล่าวมีผลในเชิงบวกมากกว่าผลกระทบเชิงลบ

“เรามีการ review มาตราการนี้มาก่อนประกาศใช้ เรามีการพูดคุยกับโบรกเกอร์ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจก่อนออกประกาศ และจนถึงวันนี้เราก็เห็นการ Turnover โดยเฉลี่ยลดลงจากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา แต่ปริมาณการซื้อขายและ index เพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่ายังไม่มีผลเสียต่อตลาด จริงๆ แล้วถ้าตลาดมีการเก็งกำไรที่สูงเกิดขึ้นจะทำไห้คนไม่กล้าลงทุนในระยะยาว” นายสุกิจ กล่าว

ปัจจุบัน ยังไม่มีหุ้นตัวใดใช้เกณฑ์ Cash Balance ครั้งที่ 3 ขณะนี้มีเพียงหุ้น KC ที่ถูกสั่งให้ใช้เกณฑ์ Cash Balance ครั้งที่ 2 เท่านั้น ส่วนหุ้น BAY แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีราคาและ Market Cap เพิ่มขึ้น ซึ่งมีน้ำหนักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างมีนัยสำคัญนั้น ทาง ตลท.ยืนยันว่าได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับหุ้นตัวอื่นทุกตัว และไม่มีการเลือกปฏิบัติจนทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งในกรณีของหุ้น BAY ยังไม่ครบเงื่อนไขที่จะต้องใช้เกณฑ์ Cash Balance โดยราคาเคลื่อนไหวของราคาและมูลค่าการซื้อขายเป็นปกติ

“ยอมรับว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้น BAY มี Impact และมีน้ำหนักเยอะต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างมาก แต่เราก็มีการตรวจสอบความผิดปกติอยู่ตลอด เราใช้มาตรฐานเดียวกันกับหุ้นตัวและไม่มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งทั่วไปแล้วหุ้นใหญ่จะเข้าเกณฑ์ฯ ได้ง่ายกว่าหุ้นขนาดเล็ก โดยหุ้น BAY ที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ เพราะราคาติดมูลค่าติด แต่ในด้าน Turn over ไม่ติด” นายสุกิจ กล่าวย้ำทิ้งท้าย

“TTA” เตรียมเพิ่มทุน หลังผู้ถือหุ้นผ่านโหวต

TTA จ่อเพิ่มทุน 739,383,450 บาท หลังผู้ถือหุ้นโหวตอนุมัติ เตรียมจัดสรรผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) จำนวน 520,470,459 หุ้น ในราคา 14 บาท/หุ้น สัดส่วน 15 หุ้นเดิมต่อ 6 หุ้นเพิ่มทุน แถมฟรี TTA-W5 อีก 2 หน่วย เตรียมจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 0.25 บาท พร้อมสิทธิในการจองซื้อหุ้น PMTA ก่อนเสนอขายให้นักลงทุนทั่วไป จ่อขยายธุรกิจตามแผน เผยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR วันที่ 5 ก.พ.นี้ ก่อนปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 10 ก.พ. และรับจองซื้อ-ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนระหว่าง 25 ก.พ.ถึง 3 มี.ค.58

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA กล่าวว่า ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2558 ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2558 ได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 89.69 ของผู้เข้าร่วมประชุม และมีสิทธิลงคะแนน ซึ่งหลังจากนี้ บริษัทฯ จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่วางไว้ โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 ก่อนจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ และกำหนดวันจองซื้อ และชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์-3 มีนาคม 2558

“ในนามของผู้บริหาร TTA ผมต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่มอบความไว้วางใจ และมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนดังกล่าว ซึ่งเราขอให้คำมั่นแก่ผู้ถือหุ้นว่า เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนทั้งหมดจะถูกนำไปใช้ในการขยายกิจการ และแสวงหาโอกาสลงทุนที่สร้างการเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืนให้แก่ TTA ต่อไป”

นอกจากผู้ถือหุ้นของ TTA จะสามารถรักษาสัดส่วนการถือหุ้นด้วยการใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (สัดส่วนการจัดสรร 15 หุ้นเดิมต่อ 6 หุ้นใหม่) ในราคาหุ้นละ 14 บาท ซึ่งเป็นราคาที่มีส่วนลดคิดเป็นร้อยละ 25 จากราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 30 วันย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย.2557 ถึง 5 ม.ค.2558 ซึ่งเท่ากับ 18.68 บาทต่อหุ้น) แล้ว ผู้ถือหุ้นยังจะได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ครั้งที่ 5 (TTA-W5) ฟรีอีก 2 หน่วย พร้อมรับเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท (XD วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้น TTA ยังจะได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นบริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง คอมปานี ที่ลงทุนในบริษัท บาคองโค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรชั้นนำในประเทศเวียดนาม โดยผู้ถือหุ้น TTA จะได้รับสิทธิจองซื้อก่อนผู้ลงทุนทั่วไป ก่อนที่ PMTA จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป จึงถือเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับผู้ถือหุ้น TTA

ทั้งนี้ TTA ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน 739,383,450 บาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 739,383,450 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 1,537,463,800 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 2,276,847,250 บาท โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) ในจำนวนไม่เกิน 520,470,459 หุ้น ในสัดส่วน 15 หุ้นสามัญเดิมต่อ 6 หุ้นสามัญใหม่ ควบคู่กับ 2 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ครั้งที่ 5 (TTA-W5) ส่วนหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจะจัดสรรไว้สำหรับรองรับการแปลงสภาพ TTA-W3, TTA-W4 และ TTA-W5