การดูว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นปันผล ควรศีกษาย้อนหลังไปหลายๆ ปี เช่น 7 ปี 10 ปี 12 ปี เพื่อดูว่าในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนั้น หุ้นตัวไหนยังมีความสามารถจ่ายเงินปันผล หรือเรียกว่า Recession Prove คือ การได้พิสูจน์ตัวเองว่าในช่วงตกต่ำสุดขีดยังมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งที่สามารถจ่ายเงินปันผลออกมาได้ และนี่คือคุณสมบัติที่หุ้นปันผลควรมี
1. เลือกบริษัทมีความพร้อมและเต็มใจที่จะจ่ายเงินปันผล ในเบื้องต้นดูผลการดำเนินงาน ผลกำไรมีการเติบโตมั่นคงสม่ำเสมอหรือไม่ โดยดูสถิติย้อนหลังไป 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี
2. เลือกบริษัทที่ดำเนินธุรกิจไม่ผันผวน เพราะจะทำให้การดำเนินงานเพื่อสร้างผลกำไรไม่ผันผวน ตรงข้ามกับธุรกิจที่มีความผันผวน ขึ้นๆ ลงๆ ไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ อาจจะส่งผลต่อการสร้างผลกำไรที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายการจ่ายเงินปันผล
3. ดูฐานะความแข็งแกร่งทางด้านการเงินว่ามีความพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผลมากน้อยแค่ไหน ในเบื้องต้นดูที่หนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ว่าเป็นอย่างไร ถ้าสูงเกินไป ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลจะลดลง รวมทั้งสัดส่วนหนี้ระยะสั้นกับระยะยาวเป็นอย่างไร ถ้ามีหนี้ระยะสั้นมากอาจจะจ่ายปันผลได้น้อย หรือไม่ได้เลย
ปัจจุบันนักลงทุนดูอัตราส่วนที่เรียกว่า Net Gearing ซึ่งจะบอกว่าบริษัทนั้นมีหนี้สูงหรือต่ำ โดย Net Gearing คือ อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้วัดความเสี่ยงของกิจการจากการใช้เงินทุนจากภายนอก (หนี้สิน) และเงินทุนที่จัดหาจากภายใน (ทุน) นั้นคือโดยหลักแล้ว Net Gearing ก็คือการวัดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนนั่นเอง
Net Gearing มีสูตรหลากหลายแล้วแต่การนำไปใช้ โดยทั่วไปหนี้สินที่เอามาเป็นตัวตั้งนั้น จะใช้เฉพาะหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเท่านั้น (ไม่รวมเงินสด เงินลงทุนระยะสั้น เจ้าหนี้การค้า ภาษีค้างจ่าย) แล้วนำส่วนทุนจดทะเบียนมาหาร ถ้าผลลัพธ์ออกมา Net Gearing ไม่เกิน 1 หรืออยู่แถวๆ 1 ถือว่าเป็นบริษัทที่มีหนี้ต่ำ และยิ่งมีกระแสเงินสดเป้นบวกต่อเนื่องสม่ำเสมอ ถือเป็นบริษัทที่ไว้วางใจได้
4. ดูกระแสเงินสด ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีความสามารถจ่ายเงินปันผลได้หรือไม่ โดยดูที่งบกระแสเงินสดว่าบริษัทมีกระแสเงินสดเป็นบวกหรือลบ เพราะเมื่อดำเนินธุรกิจจะมีรายได้เข้ามา นั่นคือ กระแสเงินสด จากนั้นบริษัทจะนำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ลงทุน จ่ายหนี้ รวมถึงจ่ายเงินปันผล ดังนั้นหากกระแสเงินสดติดลบ ความสามารถการนำไปจ่ายปันผลจะลดน้อยลงด้วย
5. ดู Pay-out Ratio ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเลือกหุ้นปันผลที่มี Pay-out Ratio ที่เกิน 50% ขึ้นไป เพราะเป็นระดับที่บ่งชี้ว่ามีผลการดำเนินงานที่นิ่ง ตรงข้ามกับบริษัทที่อยู่ในช่วงขยายตัว ส่วนใหญ่จะเก็บเงินไว้เพื่อลงทุน ทำให้การจ่ายเงินปันผลลดน้อยลง
6. เลือกหุ้นปันผลที่มีสภาพคล่องสูง เพราะจะทำให้การซื้อขายมีความคล่องตัว จะเข้าออกง่าย แต่ถ้าเป็นหุ้นปันผลที่มีสภาพคล่องต่ำ เมื่อลงทุนไปแล้ว และต้องการขายอาจจะทำได้ไม่สะดวกนัก
7. เลือกหุ้นที่ให้อัตราปันผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และถ้าให้ดีไปกว่านี้ควรมองหาหุ้นที่ให้อัตราปันผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อบวกกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก